วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เหงือกปลาหมอนากับการวิเคราะห์ของหมอพื้นบ้าน




เหงือกปลาหมอสมุนไพรที่เริ่มเกิดคำถาม












เหงือกปลาหมอที่เรารู้จักกันดี





เหงือกปลาหมอนาที่น่าจะเป็นตำรับจริงๆที่หมอพื้นบ้านใช้มีขึ้นทั่วไปริมน้ำแต่ต้องสังเกตดีๆเพราะต้นเล็กมากแต่ลักษณะใบและสีของดอกตรงตามที่โบราณกล่าวถึง




ต้นเหงือกปลาหมอเราทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเป็นยาดีเอาเข้าตำรับต่าง ๆ แต่หลังจากที่โคราชจัดประชุมหมอพื้นบ้านบ่อยๆ เริ่มเกิดเป็นข้อสงสัยว่าตำรับยาโบราณเกี่ยวกับสรรพคุณของต้นเหงือกปลาหมอนั่นหมายถึงต้นไหนกันแน่ พ่อหมอบางคนว่าต้นเหงือกปลาหมอที่หมายถึงแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็นเหงือกปลาหมอนาพอดีสอดคล้องกับข้อมูลที่ทางหมอเมืองท่านหนึ่งได้วิเคราะห์ไว้ โดยมีเหตุผลที่น่าสนใจดังที่จะได้คัดลอกมาให้พวกเราลองพิจารณากันดังนี้


"หมอเมือง สันยาสี เรื่องนี้สำคัญ โปรดอ่านให้จบ
ตำรายานี้ได้มาจากเมืองพิษณุโลก ท่านให้เป็นปริศนาว่า ถ้าใครคิดได้ให้ขุดลงไปจะได้ทอง 100 ตำลึง คนฉลาดแก้ปริศนาออกจึงไปขุดก็พบแผ่นศิลาปิดปากหลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อเปิดออกดูก็พบใบลานยาวประมาณ 1 คืบ เมื่อเอามาอ่านดูก็พบว่าเป็นตำรายาวิเศษ จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ มีใจความว่า พระฤาษีแสดงไว้เป็นทานแก่สมณชีพราหมณาจารย์ และมนุษย์ทั่วไปทั้งหญิงและชายเพื่อจะให้บำบัดโรค ถ้าผู้ใดได้ตำรานี้แล้วขอให้บอกต่อ ๆ กันไป จะได้อานิสงส์กัลป์ ถ้าเอาตำรายานี้ไว้ไม่เชื่อถือแล้วจะต้องไปตกนรก ตำรายานี้ชื่อ ตำราต้นเหงือกปลาหมอ ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงทาง หรืออยู่ในที่ใด ๆ ก็ดี อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณวิเศษมากมายหลายอย่างคือ
1. ถ้าเจ็บตา ตานั้นแดง ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำกับหัวขิง เอาหยอดตาหายแล
2. ถ้าเป็นเหน็บชา เท้า มือ หรือทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำทาที่เจ็บนั้นหาย
3. ถ้างูกัด ให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำทั้งกินทั้งทา หายแล
4. ถ้าเป็นฝีบวมขึ้นมา ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยมารวมกันตำทา หายแล
5. ถ้าเป็นริดสีดวงงอก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขมิ้นอ้อยตำปนกับน้ำมันหรือน้ำมูตรทา หายแล
6. ถ้าเป็นไข้หนาวสั่นไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับขิงตำปนกันแล้วกิน หายแล
7. ถ้าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาน้ำกิน แล้วเอาใบส้มป่อยต้มน้ำอาบ หายแล
8. ถ้าเป็นมะเร็งแตกทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ พริกไทย ดีปลี สิ่งละเท่ากัน ตำเป็นผงกินกับน้ำร้อน หายแล
9. ถ้าเป็นผื่นแดงคันขึ้นมาเกาจะไม่รู้สึกเจ็บ หรือที่เรียกว่าเป็นหูหนาตาโต ให้เอาเหงือกปลาหมอมาต้มกิน เอามาต้มกับใบส้มป่อยอาบด้วย หายแล
10. ถ้าเป็นมะเร็ง ทำให้ลงจนตัวเหลือง ให้เอาเหงือกปลาหมอ กระชาย มะคำไก่ และสมอทั้งสาม ต้มกิน หายแล
11. ถ้าหญิงมีระดูขาด หรือโลหิตแห้งแต่ 1 เดือนถึง 3 เดือนก็ดี ให้เจ็บผอมเหลืองทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเป็นผงละลายน้ำมันงาหรือน้ำผึ้งกินทุกวันไป โรคนั้นหายแล
12. ถ้าเจ็บหลัง เจ็บบั้นเอว ให้เอาเหงือกปลาหมอกับชะเอมเทศตำเป็นผงละลายน้ำกินทุกวัน หายแล
13. ถ้าเป็นโรคริดสีดวงแห้ง หรือเป็นฝีในท้อง และซูบผอมไปทั้งตัว ให้เอาเหงือกปลาหมอมาตำเป็นผง ละลายน้ำกินทุกวัน หายแล
14. ถ้าเป็นโรคริดสีดวง มือเท้าตาย ให้ร้อนไปทั้งตัว เวียนศีรษะ ตามืดมัว เจ็บทั่วตัว แลผิวตัวให้สากแห้ง อันชื่อว่าลมเพชฆาต 38 จำพวก ให้เอาเหงือกปลาหมอกับเปลือกมะรุมเท่ากันใส่หม้อ เกลือเล็กน้อย หมาก 3 คำ เบี้ย 3 ตัว วางบนปากหม้อ เอาฟืน 30 ดุ้นต้ม ถ้าเดือดแล้วให้อึดใจยกลง เมื่อจะกินให้อึดใจกิน หายแล
15. ถ้าเจ็บตามตัว เมื่อยทั่วสรรพางค์กาย ให้เอาเหงือกปลาหมอตำเอาแต่น้ำกิน
16. ถ้าช้างแทง กระบือชน หรือตกจากที่สูง หรือต้องคมอาวุธ ให้เอาเหงือกปลาหมอตำที่แผล หายแล
17. ถ้าจะให้เจริญอายุ ท่านให้เอาเหงือกปลาหมอ 2 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน ตำผงละลายน้ำผึ้งรับประทานทุกวัน
รับประทาน 1 เดือนจะหมดโรค จะมีสติปัญญาดี
รับประทาน 2 เดือนจะเป็นที่เมตตาแก่คนทั้งหลาย
รับประทาน 3 เดือน ริดสีดวง 12 จำพวกหาย
รับประทาน 4 เดือน ลม 12 จำพวกไม่มีเลย ตาแดงดังตาครุฑ หูได้ยินดังราชสีห์
รับประทาน 5 เดือน โรคภายในจะหมดสิ้น
รับประทาน 6 เดือน จะเดินได้วันละพันโยชน์ ไม่เหนื่อยเลย
รับประทาน 7 เดือน ผิวจะผุดผ่องสวยงามดี
รับประทาน 8 เดือน เสียงเหมือนนกการะเวก
รับประทาน 9 เดือน คมหอกดาบแทงไม่เข้าเลย
ต้นเหงือกปลาหมอนี้มีคุณค่าหนักหนา เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ก็ว่าได้ ถ้ากินอาหารหรือสิ่งใดผิดสำแดงเข้าไปจะไม่มีโทษเลย
18. ถ้าเป็นฝีที่รักแร้และที่ลำคอก็ดี ให้เอาเหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย น้ำมันงา น้ำมูตร ตำเคล้าเข้าด้วยกันแล้วเคี่ยวเป็นน้ำมันทา หายแล
19. ถ้าเป็นลมจับ ให้เอาเหงือกปลาหมอ 1 ส่วน พริกไทย 2 ส่วน ตำผงละลายน้ำร้อนรับประทาน แก้ลม 8 จำพวกหาย
20. ถ้าจะประสานเนื้อให้สนิท ให้เอาเหงือกปลาหมอกับหัวสามสิบเท่ากัน ตำเอาน้ำประสานแผลทาหายสนิท
21. ถ้าตามืดมัว ให้เอาเหงือกปลาหมอ กะเพราทั้ง 2 แสมสาร ใบทองหลางใบมน บอระเพ็ด เจตมูลเพลิง สิ่งละเท่ากันตำปิดกระหม่อม แล้วเอาเหล็กเผาไฟให้ร้อน เอามาวางทับเหนือยานั้น หายแล
จบตำราเพียงนี้
อ่านตำราจบแล้วอย่าเพิ่งจบครับ ต้องคุยกับผมก่อน เพราะเหงือกปลาหมอที่ท่านและผู้คนเข้าใจใช้กันอยู่นั้นมันไม่ถูก ไม่ใช่ตามที่ตำราบ่งบอกไว้ ก็ท่านเคยเห็นใครกินยาเหงือกปลาหมอแล้วได้สรรพคุณดังว่ามั่ง และเคยได้รับคำเล่าลือกันว่าดีวิเศษมั่ง ไม่มีนะครับ ที่ทำ ๆ กันมา ทำกินหรือทำขาย ก็ล้วนทำไปเพราะเชื่อตำราว่าดี ถ้ามันจะดีก็นิดหน่อย เพราะส่วนผสมอย่างอื่น พาดี แต่ไม่เคยพบคุณวิเศษแบบตำราว่า ยกเว้นต้มเอาน้ำอาบแก้ผื่นคันพอใช้ได้อยู่ แต่ไม่มีสรรพคุณโดดเด่นเห็นชัดเหมือนกินกวาวเครือ เพราะเหตุนั้นจึงประกันได้ว่าเราใช้เหงือกปลาหมอผิดต้นจากตำรา
ตำรานี้เขียนโดยผู้คงแก่เรียนชาวพิษณุโลก ผ่านมาหลายร้อยปีมาแล้ว คงเขียนช่วงที่บ้านเมืองสงบสุข ช่วงสุโขทัยเป็นราชธานี การที่ท่านไม่ได้บรรยายลักษณะต้นยานั้นเพราะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขารู้จักกันอยู่แล้ว และมีทั่ว ๆ ไป ในท้องถิ่นนั้น แต่ต้นเหงือกปลาหมอที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เป็นพันธุ์ไม้ริมทะเล ชอบดินเค็ม ชอบขึ้นตามริมน้ำคูคลองที่ชื้นแฉะ ก็เมืองพิษณุโลกนั้นอยู่ห่างทะเลหลายร้อยกิโลเมตร ในสมัยโบราณการคมนาคมไม่สะดวกนั้นเหงือกปลาหมอที่ว่านี้จะมีอยู่ที่เมืองพิษณุโลกได้อย่างไร ถ้าจะมีก็คงนับต้นได้ มีเพียงหมอยาเอาไปปลูกไว้เท่านั้น แต่หมอยาไทยโบราณไม่มีนิสัยปลูกยา เพราะของในป่ามีมากแล้ว
มีข้อให้สังเกตหลายอย่าง ตำราโบราณท่านว่า ถ้าเห็นต้นเหงือกปลาขึ้นตรงทางหรืออยู่ที่ใด ๆ อย่าเหยียบย่ำข้ามเลย ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่ใบแหลมคมเหมือนหนาม แถมต้นสูงท่วมหัวเป็นพุ่มเป็นกอ และชอบขึ้นตามริมน้ำริมคลอง ใครจะไปเหยียบย่ำข้ามมันได้ ถ้าเป็นไม้ดังว่านี้ตำราต้องเขียนว่า หากพบต้นเหงือกปลาหมอขึ้นตรงที่ใด ๆ อย่าได้ฟันทิ้งเพราะรังเกียจหนามแหลมคมของมันเลย มากกว่า
ท่านอ่านพบใช่ไหมครับ ตำราว่าเอาเหงือกปลาหมอมาตำ บางข้อก็บอกว่าให้เอาเหงือกปลาหมอทั้งห้ามาตำ ถ้าเป็นเหงือกปลาหมอที่รู้จักกันดีทุกวันนี้มันตำได้ที่ไหน ต้นก็แข็ง ใบก็แข็ง แถมปลายใบเป็นหนามแข็งแหลมจนทิ่มมือได้เลือด มันมีลู่ทางสำหรับคนโบราณทางเดียวคือสับเป็นชิ้น ๆ แล้วต้มน้ำกินเท่านั้น
จึงเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่เหงือกปลาหมอที่หลงใช้กันทุกวันนี้ แต่เป็นพืชหญ้าชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามที่ราบ แผ่ไปบนดิน ชอบขึ้นตามที่โล่งเตียน เช่นในนา สนามหญ้า ข้างทางเดิน ซึ่งผู้คนสามารถเดินข้ามเหยียบย่ำได้ง่ายดาย พืชนี้มีใบเหมือนเหงือกปลาหมอจริง ๆ ใหญ่เล็กก็เท่าเหงือกปลาหมอ ใบอวบแข็งนิด ๆ แต่อวบน้ำแข็งน้ำ ไม่ตำมือให้เจ็บ ชอบขึ้นตามที่ลุ่มชื้นแฉะ แต่ถึงไม่มีน้ำชื้นแฉะก็ขึ้นได้งอกงาม มักพบในนาหลังช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าไม่มีใครรบกวนมันจะแผ่ออกไปเป็นพื้นพรมทีเดียว แต่สวย ๆ แบบที่ว่านี้ค่อนข้างหายาก ผู้เขียนไปมาทั่วประเทศ พบอยู่ที่เดียวที่สวยเช่นนี้ แต่มันก็มีอยู่ทั่วประเทศ แต่พบที่นั่นนิดที่นี่หน่อย จะเก็บมาทำยาทีละมาก ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ผมรู้จักต้นยานี้เพราะพระอาจารย์อุดม ซึ่งเชี่ยวชาญในสมุนไพรเป็นผู้พาไปรู้จักต้น และอธิบายถึงความผิดพลาดของต้นยาที่ใช้กันอยู่ให้ฟัง ท่านว่าเคยใช้แบบนี้ได้สรรพคุณตรงตำราโบราณกล่าวไว้ทุกประการ เมื่อผมมาค้นในตำราก็เห็นอย่างที่ท่านกล่าวไว้จริง ๆ จึงขอฝากต้นยานี้ให้ท่านผู้อ่านไปหามาทำยาเถิด บางแห่งเรียกว่า หญ้าเกล็ดหอย "


หญ้าเกล็ดปลา(ภาคกลาง) ไต่หยี่หนึ่งจี้ ก้วยกังติ้ง(จีน)


ชื่อวิทยาศาสตร์Lippia nodiflora Rich.


วงศ์Verbenaceae


ลักษณะเป็นพืชขึ้นเลื้อยคลุมดิน แตกกิ่งก้านสาขา ข้อที่แตกดินจะงอกรากออกมายึดเกาะดินไว้ ทั้งต้นมีขนสั้น ๆ ต้นยาว 15-90 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ปลายใบมน ขอบใบมีรอยหยักคล้ายซี่เลื่อย ตั้งเต่ กลางใบขึ้นมาถึงปลายใบ ฐานใบเรียวเล็ก ดอกออกเป็นช่อจากง่ามใบ มีดอกย่อยจำนวนมากอยู่ติดกันแน่น เป็นทรงกระบอกยาว 1-2 ซม. มีกลีบเลี้ยง 2 กลีบเล็ก ๆ กลีบดอกสีม่วงแดงอ่อน ออกติดกันเป็นหลอดแคบ ๆ ส่วนปลายเปิกลักษณะคล้ายปาก เกสรตัวผู้มี 4 อัน สั้น 2 ยาว 2 ติดกับกลีบดอก รังไข่ภายใยแบ่งเป็น 2 ห้อง ผลมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2 มม. มีกลีบเลี้ยงห่อหุ้มอยู่ เมื่อแก่จัดจะแยกออกเป็นเมล็ดแข็ง 2 เมล็ด หญ้า เกล็ดปลาพบขึ้นเองตามที่ดินปนทราย มีน้ำชุ่มชื้นและแดดจัด ตามริมทางน้ำและแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ


สรรพคุณ ทั้งต้น รสสุขุม ใช้ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แผลมีหนอง ปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด แผลฟกช้ำจากหกล้มหรือกระทบกระแทก




๑๓/๑๐/๕๔




เฮ้อไม่ได้เข้ามาบล๊อคตัวเองนานแล้ว บังเอิญเจอคนเอาเรื่องเหงือกปลาหมอนาที่เราเขียนไปถามกันข้างนอก แล้วก็สรุปว่าเราสับสนหรือมั่วไปเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าเราใช้รูปรูปเดียวกับคนขายต้นไม้ในนานาการ์เด้น เฮ้อขอถอนหายใจอีกรอบนะ ก็ไอ้รูปนั้นหรือเจ้าของร้านคนนั้นก็คือเราเอง เพียงแต่เราไม่ได้เอาเรื่องความรู้ที่ให้สาธารณะกับการค้าขายมาเป็นเรื่องเดียวกัน จริงๆไอ้การเปลืองตัวด้วยการค้านสิ่งที่เคยรู้มาไม่ใช่เรื่องสนุกเลยถ้าเราไม่หาความรู้มาสนับสนุนที่มากพอ แล้วไม้ต้นนี้คนที่เรียนเภสัชกรรมแผนโบราณและเวชกรรมก็ตีความเป็นต้นเดียวกันว่าคือต้นที่ใบหยักๆคมๆ แต่เราเพียงอยากเปิดประเด็นให้หมอพื้นบ้านแท้ๆที่เราสัมผัสมากับคนที่เคยเอาต้นเหงือกปลาหมอนาไปใช้ได้มีพื้นที่บ้าง แล้วเราเองก็คือหนึ่งในคนที่เคยเถียงกับหมอพื้นบ้านมาแล้วเหมือนคุณน่ะแหล่ะ ไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น ขอชี้แจงและยืนยันในนี้เท่านี้แหล่ะ อย่าไปหาเลยรูปที่เหมือนกันน่ะ ถ้าเป็นรูปนี้ฝีมือเราเอง

คืออย่างที่บอกแต่ต้นนะคะว่าบางส่วนคัดลอกมาเพื่อให้เป็นประเด็นในการพิจารณา อีกส่วนก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมที่หามาประกอบกัน ส่วนที่เป็นประสบการณ์ตรงของตัวเองก็จะอยู่ด้านบน แต่ถ้าดูแล้วมันเกิดความขัดแย้งมากเกินไปทำให้น่าหมดกำลังใจซะเปล่าๆก้อาจลบทิ้งเก็บไว้เป็นความรู้ส่วนตัวดีกว่าไม่เปลืองตัวดีค่ะ ถือซะว่าอ่านเล่นสนุกๆไร้สาระก็แล้วกันนะคะ



29 ความคิดเห็น:

  1. ดีใจมากที่เจอ blog ของคุณนะครับ

    ตอบลบ
  2. ชอบเวลาที่เขียนออกความเห็นส่วนตัว ประกอบการอ้างอิงเอกสาร ภาษาสวยดีค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เขียนแบบคนเขียนไม่เป็นนั่งบ่นๆกับตัวเอง ขอบคุณค่ะ

      ลบ
  3. ตอนหนึ่งเขียนว่า...
    "พระอาจารย์อุดม ซึ่งเชี่ยวชาญในสมุนไพรเป็นผู้พาไปรู้จักต้น และอธิบายถึงความผิดพลาดของต้นยาที่ใช้กันอยู่ให้ฟัง ท่านว่าเคยใช้แบบนี้ได้สรรพคุณตรงตำราโบราณกล่าวไว้ทุกประการ"

    แต่ย่อหน้าสุท้ายบอกว่า...
    สรรพคุณ ทั้งต้น รสสุขุม ใช้ขับปัสสาวะ แก้ไข้ แผลมีหนอง ปัสสาวะเป็นเลือด ไอเป็นเลือด แผลฟกช้ำจากหกล้มหรือกระทบกระแทก

    สรุปแล้วสรรพคุณที่ท่านหมอโบราณจารไว้ในใบลานนี่จริงรึเปล่าครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เรื่องที่ว่าหมอโบราณจารไว้จริงหรือไม่ไม่ทราบค่ะ แต่ในตำราเก่าๆมีพูดถึงสรรพคุณไว้โดยไม่ได้ระบุลักษณะต้น ท่านคงไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นข้อสงสัยขนาดนี้ สมัยก่อนการถ่ายรูปก็ไม่มี เลยเป็นหน้าที่ที่ต้องเดากันเอาเอง

      ลบ
  4. ขอบคุณทุกๆความเห็นค่ะ
    บางครั้งก็เจอข้อสงสัยจากบางคนโดยเฉพาะหัวข้อนี้
    ตัวผู้เขียนเองก็แค่คนๆหนึ่งที่รักสมุนไพรและศรัทธาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ได้รู้ได้เห็นอะไรก็เอามารวบรวมเรียบเรียงไว้เล่าสู่กันฟัง ผิดถูกก็แล้วแต่ใครจะพิจารณา นี่เป็นบล๊อกส่วนตัวที่ไม่ใช่งานวิชาการหรือแม้แต่งานวิชาการยังต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แค่หวังว่าคงมีใครได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราได้บันทึกไว้บ้าง
    หวังว่าต้นไม้ทุกๆต้นจะไม่โดนทำลายเพราะเราไม่รู้ประโยชน์ของเค้า ถ้าทำให้ใครหงุดหงิดไม่พอใจเราขอโทษไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากๆเลยค่ะสำหรับข้อมูลที่ท่านเขียนมีประโยชน์มากๆเลยค่ะคนที่เรียนสมุนไพรถึงจะรู่ว่านี่แหล่ะคือสิ่งที่มีสาระและมีคุณค่ามหาศาล ขอบคุณๆๆค่

      ลบ
  5. มันเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ทั่วไปใช่ไหมครับ ผมค่อนข้างสงสัย และเห็นด้วยกับข้อที่ว่า เราอาจเอาต้นมาใช้ผิด เพราะผมเองก็เคยซื้อเหงือกปลาหมอแบบแห้ง เป็นก้านไม้แข็งๆมาลองต้มกินเป็นเดือน ก็ไม่เห็นว่าจะมีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองกับโรคที่เป็นเลย ถ้าอย่างนั้น ต้นที่เป็นแบบพืชหญ้านี้ จะมีขายเป็นต้นไหมครับตามร้านขายต้นไม้ อยากได้มาลองดูครับ กรุณาแนะนำด้วยครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องขอโทษจริงๆค่ะ นานๆเข้ามาอ่านคอมเม้นต์ เราเป็นคนรุ่นหลังๆเกิดไม่ทันในยุคนั้น ต้นนี้บอกตรงๆว่าไม่หาญกล้ายืนยัน เพราะนั่นจะเท่ากับค้านคนที่จบเวชกรรมทั้งหมด ตัวเองไม่ได้จบอะไร แค่ใจรัก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นต้นนี้ค่ะ ถ้าอยากได้จริงๆทิ้งชื่อที่อยู่เอาไว้จะหาส่งไปให้เป็นตัวอย่างค่ะ มีน้อยมากๆ

      ลบ
  6. ที่อ.พระสมุทรเจดีย์มีครับ แต่เป็นที่ส.ภ.เก่าอย๋ทางไปสาขลาครับ

    ตอบลบ
  7. สนใจเหงือกปลาหมอนาต้นนี้มากครับ ต้องการนำมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็ง
    คมสัน อุทัยวัฒน์
    219 หมู่ 4 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม
    ต.สมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินะุธ์ุ 46150
    tel. 0862422697

    ตอบลบ
  8. สนใจเหงือกปลาหมอนาต้นนี้มากครับ ต้องการนำมาใช้กับผู้ป่วยมะเร็ง
    คมสัน อุทัยวัฒน์
    219 หมู่ 4 โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม
    ต.สมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินะธุ์ 46150
    tel. 0862422697

    ตอบลบ
  9. แหล่งที่พบถูกรถไถทำลายไปอีกแหล่งแล้วค่ะ กำลังพยายามหาแหล่งใหม่ๆอยู่

    ตอบลบ
  10. หากมีข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ email areeratanaai@gmail.comด้วยนะคะ พอดีสนใจศึกษาตำรับเหงือกปลาหมออยู่ค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีเหงือกปลาหมอนา อยู่ในนาที่บ้าน (ในรูปต้นที่ 2 ) ค่ะ ใช้แช่ขารักษาลูกชายที่เป็นแผลพุพอง แล้วอาการดีขึ้น สนในติดต่อที่ mail emspomtong@gmail.com โทร 0812027324

      ลบ
  11. ข้อมูลตอนนี้พบแต่ว่าแหล่งที่เคยมีมันหายไปอีกแล้วค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยู่บุรีรัมย์ค่ะ เกิดในนา ตามธรรมชาติ ไม่ได้ปลูก สนใจติดต่อตามเมล์และเบอร์โทรที่ให้ไว้ได้เลยค่ะ emspomtong@gmail.com โทร 0812027324


      ปลายเดือนนี้ก็จะไถเพื่อทำนาแล้วค่ะ

      ลบ
  12. สวัสดีครับคุณพี่รบกวนขออีเมล์ด้วยครับ กระผมไปเจอมาและได้ถ่ายรูปไว้ ไม่แน่ใจว่าใช่เหงือกปลาหมอนาหรือเปล่า จึงอยากทราบให้แน่ชัด ขอบคุณครับ เมล์ผม pachara7555@gmail.com

    ตอบลบ
  13. สวัสดีครับคุณพี่รบกวนขออีเมล์ด้วยครับ กระผมไปเจอมาและได้ถ่ายรูปไว้ ไม่แน่ใจว่าใช่เหงือกปลาหมอนาหรือเปล่า จึงอยากทราบให้แน่ชัด ขอบคุณครับ เมล์ผม pachara7555@gmail.com

    ตอบลบ
  14. สวัสดีครับคุณพี่รบกวนขออีเมล์ด้วยครับ กระผมไปเจอมาและได้ถ่ายรูปไว้ ไม่แน่ใจว่าใช่เหงือกปลาหมอนาหรือเปล่า จึงอยากทราบให้แน่ชัด ขอบคุณครับ เมล์ผม pachara7555@gmail.com

    ตอบลบ
  15. มีต้นเหงือกปลาหมอนา(ขาย)
    กำลังเพาะปลูกขยายพันธุ์เยอะ
    ต้องการติดต่อได้คราฟ
    ID:line
    C7cy7c
    tel.0899346991(แจ็ก)

    ตอบลบ
  16. ถ้าหมายถึงต้นเหงือกปลาหมอนาตามรูปที่ 2 ที่ท่างอย(ท้ายเขื่อนลำตะคอง) เขต อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีงอกอยู่เยอะเลยครับ ต้องขี่รถมอเตอไซลงไปตระเวนนะครับเพราะเขากั้นไม่ให้รถใหญ่ลงไป อีกที่หนึ่งที่เอารถใหญ่ลงไปได้ก็คือตรงบริเวณวัดน้อยคงคาราม ลองกด GPS หาเส้นทางเอานะครับ เลาะทางหรือบริเวณใกล้ๆน้ำ ฯ มีโดยตลอดแต่ต้องลงเดินไปหานะครับ

    ตอบลบ
  17. ดีใจมากๆค่ะทีมีผู้รู้ มีต้นอยู่ เพิงได้รู้ สรรพคุณ เป็นต้นทีหายาก
    ไม่ค่อยมีคนรู้จัก วิธีแยกเอาไปปลูก ทำอย่างไรเคยแยกเอาไปปลูกแต่ไม่ขึ้น คิดว่าขึ้นไม่ยาก ไม่ง่ายอย่างทีคิด ทีปลูกไว้ก็ ไมงาม พอเรือยไปงามสักพักก็จะมีแห้งตายไป จึงไม่เพิ่มขึ้นสักทีช่วยแนะนำวิธีขยายด้วยคนะคะ

    ตอบลบ
  18. สวัสดีๆคนตามต๋ารานั้นเขียนไว้ถูกต้องแล้วอันว่าต้นเหงึอกปลานั้นจะเกิดขึ้นตามทางในสวนแม้กระทั่งสองข้างทางถนนตามชนบทลักษณะเป็นไม้ล้มลุกจะงอกในช่วงฦดูฝนมีรากขาวนวลเหมีอนรากโสมเป็นต้นเดียวมีกิ่งรอบต้นต้นและกิ่งมีสีแดงเหมือนเลือดใปเป็นหยักเหมือนสร้อยสังวาลกระผมพึ่งอ่านเจอหยากจะถ่ายมาให้ดูแต่ช่วงหน้าแล้งเมือเมล็ดแก่ร่วงไปต้นก็จะตายเหลือแต่รากเมื่อฝนมาหรีอฝนตกเมล็ดก็จะงอกรากจะไม่ตายจะงอกใหม่

    ตอบลบ
  19. เชื่อมั่นตามตำรา คะ เหงือกปลาหมอนาต้องขึ้นอยู่ตามนา คะ นาที่บ้านมีเยอะ(สุพรรณ) หลังเก็บเกี่ยวข้าว จะขึ้นเยอะมาก เก็บใบก้านมาทำแห้ง เอาไว้ชงน้ำกิน เป็นยาอายุวัฒนะคะ

    ตอบลบ