วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

หญ้าแห้วหมู มุดธรณี สมุนไพรรักษาอาการขาดธาตุดิน

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา



อ่านประวัติของหลวงปู่ดู่ พระที่เรานับถือมาก ๆ องค์หนึ่ง ซึ่งท่านมีเมตตาบารมีสูงมาก มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผู้เขียนเล่าว่า "วันหนึ่ง.. ทางบ้านส่งข่าวมาว่าบิดาผู้เขียนป่วยหนัก เข้าห้องไอซียู อาการน่าเป็นห่วงโอกาสรอดตาย ๑๐% ลูกศิษย์ของผู้เขียนคนหนึ่ง ชื่อ ประเสริฐได้เดินทางไปวัดสะแก เรียนให้หลวงปู่ทราบท่านบอกว่า"อธิษฐาน เอากายทิพย์ของพ่ออาจารย์เขามาข้าจะแผ่เมตตาให้ถ้าบุญดีไม่ถึงคราวก็รอดถ้าถึงคราวก็ไปสวรรค์เปลี่ยนตัวซะก่อนให้เขามารับบุญไป"ประเสริฐก็เดินทางมาบอกผู้เขียนผู้เขียนพร้อมพระหลายๆ องค์ ก็นั่งสมาธิภาวนาแผ่เมตตาโดยอ้างเอากุศลที่ได้บวชเรียน ส่งกุศลไปให้บิดาประกอบกับพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล ภูริภัทโทได้ตรวจดูชะตาบอกว่า ยังไม่เป็นไรร่างกายขาดธาตุดิน ให้เอาหญ้าแห้วหมูโบราณเรียกว่า "มุดธรณี" ต้มให้กินผู้เขียนก็ใจชื้นขึ้น แต่ก็ไม่วางใจมีพระลูกศิษย์ที่นั่งมโนมยิทธิ ได้ลงไปที่สำนักพระยายมราชเห็นมีรายชื่ออยู่จึงอธิษฐานให้รอดตายได้ขอให้ท่านรอด จะสร้างพระให้องค์หนึ่งผู้เขียนรับฟังรายงาน ทำใจเป็นปกติตอนเช้าขณะออกไปบิณฑบาตได้แวะเข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลพอเข้าไปเห็นบิดา อาการผิดกับแต่วันก่อน"
เรื่องปาฏิหาริย์ขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เราไม่เคยสงสัย เพราะเชื่อว่ามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของท่านเหล่านั้นคุ้มครองประเทศไทยนี้อยู่ แต่ได้อ่านถึงเรื่อง หญ้าแห้วหมูหรือมุดธรณีที่หลวงพ่อหวล ภูริภัทโท ได้ตรวจดูดวงชะตาและระบุว่าผู้ป่วยท่านนี้ขาดธาตุดิน ให้นำมาต้มกิน จึงอยากบันทึกไว้ เผื่อใครจะได้น้อมนำไปใช้กัน และอย่าลืมอธิษฐานอุทิศบุญให้แก่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านผู้นำภูมิความรู้นี้มาใช้และเผยแพร่ ย่อมจะเป็นผลดีแก่ตนเองอย่างยิ่ง
เราคงไม่ต้องพูดถึงหญ้าแห้วหมูมากนัก เนื่องจากเคยพูดไปบ้างแล้ว คนแต่โบราณถือเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเยี่ยม คนปัจจุบันใช้นำมาลดไขมันในเลือด
แต่ไหน ๆ ก็รวบรวมไว้อีกซักหน่อยละกัน
หญ้า แห้วหมูหรือหญ้าขนหมู เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยเป็นส่วนประกอบ นิยมนำส่วนหัวที่อยู่ใต้ดินมาใช้ทำยา มีรายงานฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ มีฤทธิ์ยับยั้งการหดเกร็งและการบีบตัวของลำไส้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อมาลาเรีย ต้านเชื้อไวรัส ฆ่าแมลง แก้ไข้ แก้ปวด ต้านมะเร็ง แก้อาเจียน ทำให้น้ำหนักตัวลดลง กดการทำงานของหัวใจ กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ปัจจุบันมีการนำหญ้าแห้วหมูไปเข้าตำรับยาแก้ปวด แก้โรคกระเพาะ แก้ปวดประจำเดือน เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีการวิจัยพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

ในตำรับยาไทย หัวหญ้าแห้วหมูมีสรรพคุณ บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงครรภ์ แก้ธาตุพิการ ช่วยให้เจริญอาหาร ขับพยาธิไส้เดือน ขับลม ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้บิด ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ใช้พอกดูดพิษ ทาแก้แมลงกัดต่อย แก้กระษัย ส่วนใบ ใช้ห้ามเลือด

การ ใช้หญ้าแห้วหมูบำรุงสุขภาพ จะใช้แบบเดี่ยวในรูปชาชง หรือแบบตำรับยาก็ได้ ขึ้นกับวัตถุประสงค์ มีผู้มีประสบการณ์โดยตรงในการใช้หญ้าแห้วหมูเล่าว่า ท่านใช้แบบบดเป็นผงปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอนรับประทาน ตั้งแต่อายุ 40 กว่าปี จนย่างเข้าวัย 60 ปีแล้วยังแข็งแรงกระชุ่มกระชวย หูตาสว่างไสว ไม่มีโรคเบียดเบียน

ใช้ ในรูปแบบชาชงหรือต้ม ถ้าทำเป็นชาก็นำส่วนหัวมาบดเป็นผงให้ละเอียด หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คั่วให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนดื่ม หรือนำเอาหัวแห้วหมูทุบให้แหลก ต้มดื่ม เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อย ช่วยให้หูตาสว่าง บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ลดไขมัน ลดความดันโลหิต ลดไข้ แต่ต้องระวังอย่าให้มีปริมาณเข้มข้นมากเกินไป เพราะจะเป็นอันตรายต่อหัวใจ จะไปบีบหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้

สำหรับ ตำรับยาที่มีสรรพคุณลดไขมันในร่างกาย คือ แห้วหมูทั้ง 5 (ถอนเอาทั้งต้นจนถึงราก) จำนวนมากน้อยตามต้องการ ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปคั่วไฟให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนดื่มเป็นชาลดไขมันในร่างกาย

ใช้ลดความอ้วน มีตัวยา หัวแห้วหมูหนัก 5 บาท หัวกระชายหนัก 5 บาท บอระเพ็ดหนัก 4 บาท มะตูมอ่อนแห้งหนัก 4 บาท เหงือกปลาหมอหนัก 10 บาท พริกไทยล่อนหนัก 10 บาท ส่วน ผสมทั้งหมดบดละเอียด นำไปปั้นกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดพุทรา เก็บไว้รับประทานก่อนนอนทุกคืน นอกจากนี้ ยังมีสรรพคุณช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และเป็นยาอายุวัฒนะด้วย

ตำรับ ยาอายุวัฒนะของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ตัวยาประกอบด้วย พริกไทยดำ 10 เม็ด ดีปลี 10 ดอก หัวแห้วหมู 10 หัว ตัวยาทั้งหมดบดเป็นผงละเอียด ชงกับน้ำผึ้งแท้ รับประทานก่อนนอน ตำรากล่าวว่า ยาตำรับนี้ให้ทำเฉพาะในวันเสาร์เท่านั้น และรับประทานให้หมดในวันนั้นด้วย มิให้เหลือทิ้งไว้ และเสาร์ต่อไปค่อยทำใหม่ ผู้ใช้ยาตำรับนี้ร่างกายจะปราศจากโรคภัย มีอายุยืนยาวนับ 100 ปี

แก้ ลมสลักอก อาการแน่นอก จุกอก รับประทานอาหารไม่ได้ มีตัวยา หัวแห้วหมู ใบมะตูม ผักคราดหัวแหวน ขิงแห้ง เถาบอระเพ็ด ใบหนาด ดอกดีปลี พริกไทย น้ำหนักเสมอภาค บดเป็นผงให้ละเอียด ใช้ชงกับน้ำต้มสุก หรือผสมกับสุรา รับประทานเช้า-เย็น

ยาแก้โรคลมอัมพาต ยาแก้โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ตำรับที่ ๑ ท่านให้เอา หัวกระเทียม ๓๐ หัว ( หั่นกลางออกเป็น ๒ ซีก ) ตากแดดให้แห้ง ชั่งน้ำหนักไว้ ขิงแห้ง ๑ หัวแห้วหมู ๑ โคกกระสุน ๑ เอาตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ รวมชั่งน้ำหนักให้เท่ากับน้ำหนักของหัวกระเทียมทั้งหมด นำมาใส่ หม้อดินต้ม ใช้น้ำยารับประทานต่างน้ำชาสรรพคุณ แก้โรคลมอัมพาต มีอาการมือเท้าตาย ให้ดีนักแลฯ
ยาแก้โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ตำรับที่ ๓ ท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก ๒ บาท ตรีผลา สิ่งละ ๒ บาท ใบมะกา ๒ บาท แห้วหมู ๒ บาท ตองแตก ๒ บาท บอระเพ็ด ๒ บาท ขมิ้นอ้อยแห้ง ๒ บาท โกฐน้ำเต้า ๒ บาท เทียน ทั้ง๕ สิ่งละ ๕ บาท ฝักราชพฤกษ์ ๒ บาท ดีเกลือ ๒ บาท ยาดำ ๕ บาท เอายาทั้งหลายใส่หม้อดินต้ม ใช้น้ำยารับประทานก่อนอาหาร เช้า - เย็น ครั้งละ ๑ แก้วสรรพคุณ รักษาโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นพิการ ปวดเส้น ปวดขา และปวดตามข้อ ได้ผลดีนักแลฯ
ยาแก้โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ตำรับที่ ๗ ยาแก้อัมฤกษ์ อัมพาต ท่านให้เอา เหงือกปลาหมอ ๒ บาท ขิง ๒ แง่ง แห้วหมู ๑ บาท พริกไทยร่อน ๑ ซอง (ที่เขาขาย) เกลือแกง ต้มดื่ม ก่อนอาหารสรรพคุณ แก้ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเอ็นพิการ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ได้ผลดีชะงัดนักแลฯ
ข้อมูลจากสารศิลปยาไทย

รสเผ็ด หอมปร่า บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น อืดเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงทารกในครรภ์ ขับลม เป็นยาอายุวัฒนะ ขับความเย็น ระงับปวด แก้หวัดลม หวัดหนาว แก้ปวดท้องเนื่องจากเสพกามกิจมาก ปวดเมื่อยขา หลังคลอด แน่นหน้าอก บวมลม ใช้หมักทำให้เกิดแป้งข้าวหมาก แป้งเหล้าได้ดี ใช้ร่วมกับเถาสะค้าน กระวาน ดีปลี ผสม ทำแป้งเหล้า นำมากลั่นได้เหล้ายาบำรุงกำลัง
ความลับของหัวหญ้าแห้วหมู

๑. แก้ไข้ได้ดี ทั้งต้นทั้งหัว ล้างสะอาดต้มน้ำดื่ม
๒. แก้โรคบิด เอาหัวแห้วหมู บดกับขิงแก่ปั้นเป็นลูกยาลูกกลอน ผสม น้ำผึ้งแท้
๓. แก้ปัสสาวะขัด หัวหญ้าแห้วหมูสดๆ ล้างให้สะอาด ตากแห้งบด ละเอียดปั้นลูกกลอนกิน แก้ปัสสาวะขัดดีมาก
๔. แก้ผื่นคัน หัวแห้วหมูบดละเอียด ผสมน้ำมันมะพร้าวเล็กน้อย ทา ที่เป็นบ่อยๆ จะทุเลาลง จนหายไปในที่สุด
๕. รักษาแผลสด ใช้ต้นและใบหญ้าแห้วหมู โขลกใส่น้ำปูนใสเล็กน้อยเอามาพอกแปะกดที่แผลเลือดจะหยุดไหล
๖. บำรุงธาตุ ใช้หัวแห้วหมู ๑ ฝ่ามือ ต้มเอาน้ำดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ขาวเปอร์เซียร์ใช้หัวแห้วหมู ๖-๘ หัวบดกับขิงแก่ ๔-๕ แว่น ผสมกับน้ำผึ้ง กินเป็นยาขับลมในลำไส้ แก้ ปวดท้อง
๗. ยาอายุวัฒนะ ใช้หัวหญ้าแห้วหมูล้างน้ำให้สะอาด เคี้ยวกินหรือ ทุบให้แหลกและไปคั่วไฟ ชงกินต่างน้ำชา จะทำให้หายปวดเมื่อย ฟันแน่นแย็งแรง ไม่ชรา ดวงตาสว่างไสวดี แม้อายุจะมาก หรือไข้หัว แห้วหมูแห้ง ๔ ส่วน พริกไทย ๑ ส่วน ลูกแป้ง ๑ ส่วน โขลกละเอียดปั้น น้ำผึ้งเม็ดเท่าพุทรา กินวันละ ๒ เม็ด เช้าและก่อนนอน
๘. ลดไขมัน เอาหัวแห้วหมูทั้งหัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง คั่วไฟให้เหลือง ใช้ชงกับน้ำร้อนกินต่างน้ำชา
๙. ระงับอาการหอบหืด เพราะมีฤทธิ์ต้านการทำงานของสาร ฮิสตามิน
๑๐. ลดความดันโลหิต ยาชงหัวแห้วหมู ทำให้ ความดันโลหิตลดลง ใช้หัวแห้วหมู ๑ ส่วน กับน้ำร้อน ๑๐ ส่วน จะได้ผลดีที่สุด
๑๑ แก้อาเจียน
๑๒. ลดอาการปวดเกร็งในลำไส้
๑๓. แก้นิ่วกรดในทางเดินปัสสาวะ หัวแห้วหมูมีสารชนิดหนึ่ง สามารถละลายก้อนนิ่วกรด ที่เกิดจากการกินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก เกินไป
๑๔. บำรุงหัวใจ ถ้ากินน้อยเป็นยาบำรุงหัวใจ ถ้ากินมากเกินไป จะบีบหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้น
๙. ระงับอาการหอบหืด เพราะมีฤทธิ์ต้านการทำงานของสาร ฮิสตามิน
๑๐. ลดความดันโลหิต ยาชงหัวแห้วหมู ทำให้ ความดันโลหิตลดลง ใช้หัวแห้วหมู ๑ ส่วน กับน้ำร้อน ๑๐ ส่วน จะได้ผลดีที่สุด
๑๑ แก้อาเจียน
๑๒. ลดอาการปวดเกร็งในลำไส้
๑๓. แก้นิ่วกรดในทางเดินปัสสาวะ หัวแห้วหมูมีสารชนิดหนึ่ง สามารถละลายก้อนนิ่วกรด ที่เกิดจากการกินอาหารพวกเนื้อสัตว์มาก เกินไป
๑๔. บำรุงหัวใจ ถ้ากินน้อยเป็นยาบำรุงหัวใจ ถ้ากินมากเกินไป จะบีบหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้น
๑๕. ระงับเชื้อแบคทีเรีย น้ำมันหอมระเหย ที่มีอยู่ในหัวแห้วหมู สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ สแต๊ฟ ได้แต่เพียงอย่างเดียว ( เชื้อนี้ทำให้เกิดฝีเจ็บคอและท้องเสีย)
๑๖. ระงับเชื้อรา หัวหญ้าแห้วหมูนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะได้สาร ที่ต้านเชื้อราได้
๑๗. ปวดท้องเพราะมากในกามกิจ แห้วหมู หญ้าเปลือกหอย ใบบัวบก อย่างละครึ่งตำลึง ตำแหลก เอาน้ำชงเหล้า รับประทาน ใช้กาก พอกที่สะดือ

ยาลดความอ้วน
๑. บอระเพ็ด๒. มะตูมอ่อนแห้ง๓. หัวกระชาย๔. หัวแห้วหมู๕. เหงือกปลาหมอ๖. พริกไทยอ่อน
๔๔๕๕๑๐๑๐
บาทบาทบาทบาทบาทบาท
วิธีทำ
บดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง ปั้นลูกกลอนขนาดเม็ดพุทรา
วันละ ๑ เม็ด ก่อนนอนทุกคืน
ลดความอ้วน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ข้อมูล จากสารศิลปยาไทย(๒๓)

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 4 (หมอเมือง อภิญญา สันยาสี บภ.)

ยาขนานนี้มีที่มาจากภาคใต้ของไทยเรา มีคนใช้กันเยอะ เพราะอยู่ในดงของอิสลามซึ่งชาย 1 คนสามารถมีภรรยาได้ 4 คน ภรรยาจึงต้องแข่งขันกันเพื่อให้สามีรักที่สุด ร.ต.อ.เปี่ยมได้นำมาเผยแพร่ แต่ผู้เขียนได้ตำรานี้จากน้องชายซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์อินทร์ วัดโขลงคูบัว ราชบุรี ท่านแนะนำให้คุณหญิงคุณนายที่สามีแอบไปมีเมียน้อยทำกิน สามีกลับมาหาทุกราย ผู้เขียนก็มียานี้ไว้ประจำสำหรับคนมีปัญหาดังว่า ตำรายามีดังนี้
1. หัวไพล 1 ขีด 2. ขมิ้นอ้อย 1 ขีด
3. ขมิ้นชัน 1 ขีด 4. หัวแห้วหมู 1 ขีด
5. หัวกระชาย 1 ขีด 6. พริกไทยล่อน 2 ขีด
ต้องทำเป็นยาผงก่อน แล้วผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละไม่เกิน 2 เม็ดในพุทรา ถ้ารับประทานมากจะผายลมตลอด หรือถ้าเป็นคนธาตุร้อนหรือโรคไตไม่ควรกิน เพราะเป็นยาร้อน คนเฒ่าแก่กินดีมาก จะบำรุงธาตุไฟให้บริบูรณ์ และขับผายลมได้ดียิ่ง ตำราว่าแม้สตรีจะมีบุตรสัก 10 คนก็ยังเหมือนสาวน้อย

ตำรับต่อมาเป็นตำรายาที่ขึ้นชื่อมาก ส่วนมากหมอยาในกรุงเทพ ฯ และภาคกลางล้วนรู้จักและปรุงกินกันมาก แต่ท่านว่าอายุหนุ่มน้อยกินไม่สู้ดี เพราะธาตุไฟแรงจะเผาร่างกายให้ผ่ายผอม เหมาะสำหรับคนอ้วนต้องการลดความอ้วนกินยานี้น่าจะดี ตัวยามีดังนี้
1. เปลือกทิ้งถ่อน 2. เปลือกตะโกนา 3. เถาบอระเพ็ด 4.เมล็ดข่อย
5. หัวแห้วหมู 6. หัวกระชาย 7.พริกไทยล่อน
ยาทั้งหมดสัดส่วนเท่ากัน ตากแห้งบดผงผสมน้ำผึ้งกินก่อนนอน วันละ 1-2 เม็ด ท่านว่ากินได้ 1 เดือนตัว
พยาธิ์ลำไส้ออกมาหมด หายจากอาการปวดเมื่อยอ่อนเพลียโดยไม่ต้องอาศัยหมอนวดบีบ การหมุนเวียนโลหิตดี เลือดลมไหลสะดวก เรื่องอย่างว่าก็สู้บ่ยั่นเหมือนกัน ถ้าเป็นพระทำฉันให้งดกระชายเสีย เพราะเป็นยาบำรุงกามารมณ์

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 19 บำรุงร่างกาย
1. หัวขิง 2. หัวข่าเล็ก 3. หัวแห้วหมู 4.เถาบอระเพ็ด
5.ดอกดีปลี 6. กระเทียม 7. รากแจง 8.สมอเทศ
9. สมอไทย 10.สมอพิเภก 11.สมอดีงู 12.ลูกมะขามป้อม
สมุนไพรทั้งหมดนี้ใช้สัดส่วนเท่ากัน ตากแดดให้แห้งดีแล้วจึงทำเป็นยาผง ใช้ละลายน้ำร้อนรับประทานก่อนอาหารเย็น ทำให้นอนหลับสบาย ท้องไส้ทำงานดีไม่มีลมเบียดเบียน ร่างกายกลับแข็งแรง คนแก่ก็จะกลับเป็นหนุ่มสาว
เอายาทั้งหมดนี้มาตำเข้าด้วยกัน แล้วใส่โหลหรือกระปุกเก็บไว้รับประทานก่อนอาหาร หรือก่อนนอน เป็นยาขับถ่ายสิ่งโสโครกออกจากร่างกาย ถ้ารับประทานประจำโรคภัยหายหมด ผิวพรรณวรรณะก็ดีงาม กลิ่นตัวกลิ่นปากหรืออื่น ๆ จะหายไปหมด

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 21 บำรุงร่างกาย
ยานี้ชื่อยากำลังราชสีห์ ตัวยามี 5 อย่างด้วยกันคือ
1. เถาบอระเพ็ด 2. หัวแห้วหมู 3. หัวกระชาย
4. พริกไทยล่อน 5.เกลือสะตุ
เอาตัวยาทั้งหมดมาตำเข้าด้วยกันแล้วใส่โหล ใส่สุราให้ท่วมยา ปิดให้สนิทแล้วนำไปฝังโคลนที่ชายน้ำในวันแรม 14 ค่ำ พอขึ้น 15 ค่ำของอีกเดือนหนึ่งจึงไปขุดขึ้นมารับประทาน ก่อนอาหารเย็นครั้งละ 1 ถ้วยตะไล จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยทั้งปวง จะมีกำลังดุจหนุมาน คำว่าแก่จะไม่มี ท่านว่าผู้มีบุญวาสนาเท่านั้นจึงได้รับประทาน แต่เรื่องการหมักโคลนนั้นมีเหตุผลทีต้องการความเย็น สมัยนี้ใส่ตู้เย็นย่อมเหมาะสมกว่า

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 34 บำรุงร่างกาย
1. ขมิ้นอ้อย 2. ผักเสี้ยนผี 3.โคกกระสุน 4. หัวแห้วหมู
ตากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง กินก่อนนอนวันละ 1 เม็ดพุทรา ทำให้เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 35.บำรุงร่างกาย
เรื่อย ๆ รูปร่างจะเปลี่ยนแปลง ผิวพรรณผุดผ่องอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผู้กินยานี้อายุได้ 160 ปี
ยาอายุวัฒนะขนานที่ 36. บำรุงสายตา
เอาหัวแห้วหมูมาล้างให้สะอาด แล้วคั่วไฟ แล้วทุบให้แตก นำมาชงดื่มแบบน้ำชา แก้ปวดเมื่อยอ่อนเพลีย
ร่างกายแข็งแรง ตาสว่างดุจคนหนุ่ม ฟันทนแข็งแรง ร่างกายกลับเป็นหนุ่มสาว

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 38. บำรุงร่างกาย
1. เมล็ดข่อย 2. พริกไทยล่อน 3. หัวแห้วหมู 4. หัวบัวขม
5. หัวกระชายแก่ 6. ผักเสี้ยนผี 7. โคกกระสุน 8.เนื้อสมอทั้ง 3อย่างละ 10

เอามาทุบดองสุรา กินก่อนอาหารเย็น กินประจำอายุยืนถึง 100 ปี แข็งแรงทำงานหนักได้ดุจคนหนุ่ม

ยาอายุวัฒนะขนานที่ 51 แก้กามตายด้าน
1. โด่ไม่รู้ล้ม 2. หัวกระชาย 3. พริกไทยล่อน 4. โสมแดง
5. ลูกยอ 6. เหงือกปลาหมอแดง 7. ดอกดีปลี 8. ฟ้าทะลายโจร
9.หัวแห้วหมู

ทำเป็นยาผงผสมน้ำผึ้งปั้นเม็ดขนาดเม็ดพุทรา รับประทานวันละ 2 เม็ดก่อนอาหาร ร่างกายจะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความรู้สึกทางเพศจะดีมาก

เลือกศึกษาเลือกใช้เอาแต่พอเหมาะพอควร แล้วแต่ผู้ใดจะถูกธาตุถูกโรค และใช้ธรรมะเป็นยาขนานเอกสำหรับทุก ๆ โรค ทุก ๆคน ด้วยจะได้ผลแน่นอน

หัวและต้นของหญ้าแห้วหมู  ภาพจาก www1.mod.go.th

ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

กาฝาก พืชเบียนที่มีคุณอนันต์

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




ระโยงระยางจนหากิ่งต้นเดิมไม่เจอ
ส่วนรอยต่อที่กาฝากไปเกาะต้นแม่

กาฝากเกาะต้นหว้า สรรพคุณแก้ท้องเสีย ดอกเค้าน่ารักดีนะ


กาฝากต้นขี้เหล็ก


กาฝากต้นขี้เหล็กฝีมือ หยก ถ่าย

กาฝากต้นสน


กาฝากบนต้นพฤกษ์


แหมถ่ายภาพได้สวยเหมือนกันแฮะ ต้นพฤกษ์ต้นนี้โดนกาฝากอาศัยว่านานแล้ว สีน้ำตาลเป็นย่อม ๆ คือกาฝากที่มาดูดกินแต่เค้าก็ยังอยู่ได้ แต่ที่น่ากลัวกว่ากาฝากคือ ตอนนี้รอรถปั้นจั่นมาโค่นเค้าอยู่
เราพึ่งรู้จักกาฝากได้ไม่กี่ปี เรานึกว่าเค้าเป็นไม้ต้นนั้นซะอีก กว่าจะรู้ว่านี้คือกาฝากซึ่งเป็นพืชเบียน เค้าเติบโตได้ดีจริง ๆ งามมาก จนบางทีแทบไม่รู้ว่าต้นนั้นใบจริงเค้าเป็นยังไง แต่แม้จะมีให้เห็นในธรรมชาติไม่มีใครเอากาฝากมาปลูกได้เอง ต้องรอให้ธรรมชาติจัดสรรเท่านั้น กาฝากมะม่วงกะล่อนถือเป็นสุดยอดสมุนไพรลดความดันโลหิต และกาฝากไม่ว่าจะขึ้นต้นไหนจะสามารถนำมารักษาตามสรรพคุณของตนนั้น ๆ ทันที เช่น ขึ้นต้นหว้าก็มีสรรพคุณฝาดสมานเหมือนเปลือกหว้า ขึ้นต้นทองกวาวก็ช่วยเรื่องความสวยความงามเหมือนทองกวาว ยิ่งกาฝากที่นำไปใช้ทำวัตถุมงคล ยิ่งมหัศจรรย์พันลึกไปใหญ่ อย่างเช่นกาฝากรัก กาฝากสวาท ของอะไรที่มนุษย์ทำขึ้นเองไม่ได้ แต่ธรรมชาติจัดสรรให้ ไม่เรียกว่ามหัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ต้นไม้บางต้นหายากแล้ว ยิ่งต้นที่มีกาฝากมาเกาะอีกคิดดูว่าจะหายากขนาดไหน

กาฝาก เป็นพืชที่อาศัยเกาะขึ้นกับพืชอื่น และแย่งอาหารจากพืชที่เกาะอยู่และบางชนิดก็แย่งอาหารจากพวกกาฝากด้วยกันพืชพวกกาฝากจะมีรากชนิดหนึ่งเรียกว่า รากเบียนที่แทงทะลุเปลือกไม้เข้าไปถึงขั้นเยื่อสร้างความเจริญเติบโตของพืชที่อาศัยอยู่ พืชกาฝากแบ่งออกเป็น 2 พวกคือ

๒.๑พวกเบียนลำต้นเป็นพืชในวงศ์ลแรนทาซิอีซึ่งมีหลายสกุล และมากมายหลายชนิด พบขึ้นทั่วไปตามต้นไม้ต่างๆ และมักเรียกชื่อตามต้นไม้ที่เกาะเบียนอยู่ เช่น กาฝาก มะม่อง กาฝากก่อตาหมู เป็นต้น

๒.๒พวกเบียนรากมีหลายวงศ์ เช่น วงศ์ขนุนดิน อาศัยเกาะกินรากต้นไม้ป่าชนิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น ขนุนดินลําต้นแยกแขนงสั้นๆ ชิดกันเป็นกระปุกใหญ่สีน้ำตาล ผิวขรุขระ ส่วนโหราเท้าสุนัข ซึ่งใช้เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งนั้น ลำต้นแยกแขนงข้อนข้างห่างกัน วงดอกดิน อาศัยเกาะกินอาหารจากรากไผ่ วงบัวผุด ได้แก่ กระโถนฤาษี ดอกตูม และ ก้อนกลมๆ สีขาว เวลาบานจะเห็นภายในเป็นสีน้ำหมากประเหลือง กลิ่นไม่ชวนดม
แล้วกระบวนการไหนหรือใครที่เป็นตัวขยายพันธุ์กาฝากให้ไปเกาะต้นโน้นต้นนี้สัตว์ชนิดนั้่นคือนกกาฝากหรือนกสีชมพูสวนนั่นเอง
นกกาฝาก (Flowerpecker) เป็นนกในวงศ์ Dicaeidae ที่มีขนาดตัวเล็กมาก ส่วนมากจะมีความยาวตัวไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีปากสั้น หางสั้น เป็นวงศ์ของนกที่ใกล้เคียงกับวงศ์ของนกกินปลี (Nectariniidae) เพราะมีลิ้นที่ยาวมากเหมือนกัน ลิ้นนี้ใช้สำหรับดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ แต่มีลักษณะของจะงอยปากไม่เหมือนกัน จะงอยปากของนกกาฝากจะหนาและสั้น ไม่เรียวยาว และโค้งลงเหมือนนกกินปลี นกกาฝากตัวผู้และตัวเมียมีสีตัวต่างกัน นกตัวเมียจะมีสีซีดกว่าและไม่สวยงามเหมือนนกตัวผู้ โดยนกตัวเมียจะมีขนสีน้ำตาลอมเหลือง ท้องสีขาวหรือครีม สีของนกตัวเมียหลายชนิดในวงศ์นี้คล้ายคลึงกันมากจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นชนิดใด ส่วนนกกาฝากตัวผู้จะมีสีน้ำตาลเข้มกว่านกตัวเมีย นกตัวผู้บางตัวจะมีสีอื่นแซมที่บนหัว หลัง หรือ สะโพก เช่น สีเหลือง แดงหรือส้ม

นกกาฝากส่วนมากชอบหากินอยู่ตามยอดไม้ มีบางชนิดเท่านั้นที่ลงมาหากินบริเวณไม้พื้นล่าง (undergrowth) หากินเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-5 ตัว กินแมลงเป็นอาหารหลัก บางครั้งกินน้ำหวานและละอองเกสรของดอกไม้ อาหารที่นกกาฝากชอบมากอีกอย่างหนึ่งคือลูกไม้สุก โดยเฉพาะลูกไทร และลูกกาฝาก เนื่องจากนกกาฝากเป็นนกขนาดเล็ก และชอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้สังเกตเห็นได้ยาก มักจะได้ยินเสียงร้องมากกว่าที่จะได้พบเห็นตัวนก

นกในวงศ์นกกาฝากนี้มีด้วยกันทั้งหมด 54 ชนิด แต่ที่พบในเมืองไทย มี 10 ชนิด ที่รู้จักกันดีมากที่สุดคือ นกสีชมพูสวน (Dicaeum cruentatum) เป็นนกที่พบเห็นได้เสมอเกือบทุกที่แม้แต่ในบริเวณบ้านพักอาศัย นกชนิดนี้จัดเป็นนกที่สวยที่สุดในหมู่นกกาฝากทั้งหมด โดยเฉพาะสีขนของนกตัวผู้ตั้งแต่กระหม่อมไปถึงโคนหางเป็นสีแดงเลือดนก นกตัวเมียมีหลังสีน้ำตาลอมเหลือง โดยเฉพาะโคนหางเท่านั้นที่เป็นสีแดงเลือดนก ดูแล้วไม่สวยงาม เหมือนนกตัวผู้



นกกาฝากทั้ง 2 เพศ จะช่วยกันทำรัง รังของนกพวกนี้มีลักษณะบอบบางแตกต่างจากรังของนกอื่นๆ มันจะใช้เยื่อใยอ่อนๆ ของต้นไม้ ใบไม้ เช่น ปุยนุ่น ปุยงิ้ว เป็นต้น มาสร้างรังโดยใช้ใยแมงมุมมาเชื่อมรัดกันให้เป็นรัง รังมีรูปร่างคล้ายกระเป๋าใบเล็กๆ ขนาดประมาณ 5 x 7 เซนติเมตร ยึดติดอยู่กับ แขนงไม้ มีทางเข้าออกเล็กๆ ทางด้านบน พอที่จะให้นกบินเข้าออกได้ แม่นก จะวางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง ไข่มีขนาดเล็กมากประมาณเท่าไข่จิ้งจก มีสีขาว ทั้งพ่อนกและแม่นกจะช่วยกันกกไข่และเลี้ยงลูกอ่อน

ใครก็ตามที่ได้ยินชื่อ นกกาฝาก ก็มักจะนึกถึงอีกาเอาไว้ก่อนแต่ความจริงแล้วนกกาฝากไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอีกาแม้แต่น้อย ทั้งขนาด รูปร่าง สีสัน และอุปนิสัย แต่นกชนิดนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญกับต้นกาฝาก ซึ่งเป็นต้นไม้จำพวกปรสิตชนิดหนึ่ง ชอบขึ้นอยู่บนต้นไม้อื่นๆ เห็นได้ทั่วๆ ไปแม้ตามสวนผลไม้ และต้นไม้ ผลบริเวณบ้านพัก สมัยก่อนอาจ มีการเข้าใจกันว่าอีกาเป็นผู้แพร่ พันธุ์ต้นไม้ชนิดนี้ แต่เท่าที่ศึกษาดูไม่เคยปรากฏว่า อีกาจะให้ความสนใจหรือเข้ามาข้องแวะกับต้นกาฝากเหล่านี้เลย

นกกาฝากนอกจากจะกินแมลงและน้ำหวานแล้ว มันยังชอบกินลูกไม้สุกอีกต่างหาก และลูกไม้ที่มันชอบที่สุดคือลูกไทรสุก และลูกกาฝาก ซึ่งจัดเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของนกและสัตว์อื่นๆ เมื่อกินอิ่มแล้ว มันจะบินไปเกาะพักตามที่ต่างๆ หลังจากอาหารย่อยแล้วมันก็จะถ่ายมูล ออกมา เมล็ดที่ไม่สามารถย่อยได้ก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับมูลของนก ในขณะถ่ายมูลนั้น มันชอบทำก้นกระดกต่ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายๆ ครั้ง คล้ายกับจะเช็ดก้นกับกิ่งไม้ ทำให้เมล็ดติดแน่นกับกิ่งไม้แล้วก็งอกงามอยู่บนกิ่งไม้นั้นเอง ต้นกาฝากและต้นไทรเหล่านี้ก็จะเจริญเติบโตมีผลเล็กๆ อีกมากมาย เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของนกกาฝากและนกอื่นๆ

ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจสัตว์ที่เกาะแตน จังหวัด สุราษฎร์ธานี ได้พบนกสีชมพูสวนจำนวนมากบนเกาะนี้ นกชนิดนี้ได้แพร่พันธุ์ต้นกาฝากไปทั่วทั้งเกาะ ต้นไม้ทั้งใหญ่และเล็กเต็มไปด้วยต้นกาฝาก บางต้นแทบจะมองไม่เห็นใบของต้นเดิมเลย ต้นกาฝากเหล่านี้จะดูดเอาสารอาหารจากต้นไม้ที่มันเกาะมาเลี้ยงตนเอง ถ้าต้นไม้ต้นใดมีต้นกาฝากมาอาศัยอยู่มากเกินไป จนอาหารที่มันหามาได้มีไม่พอ ต้นไม้ต้นนั้นก็จะตาย นอกจากนกกาฝากแล้ว ยังได้พบว่าบนเกาะนี้มีนกกินปลีชนิดหนึ่ง คือ นกกินปลีอกเหลือง (Nectarinia jugularis) ซึ่งมีจำนวนมากเกือบเท่านกสีชมพูสวน และนกชนิดนี้ก็มีพฤติกรรมการกินอาหารและขยายพันธุ์ ต้นกาฝากได้ดีเช่นเดียวกัน
ที่มา
ตำรับยาลดความดันโลหิตสูงของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ยารักษาความดันโลหิตสูงขนานที่ ๑
ส่วนผสมของตัวยากาฝากมะม่วงทั้งห้า (ต้น ใบ ราก) สดๆ โดยการตัดเอามาจากต้นมะม่วงอะไรก็ได้ เอามาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ กก.วิธีปรุงยาเอากาฝากมะม่วงสดๆ สับเป็นชิ้นๆ รวมทั้งใบและรากที่เกาะกิ่งมะม่วง เอามาตากแดดให้แห้งสนิท ซึ่งจะต้องตากหลายๆ แดดจากนั้นเอามาเก็บเอาไว้ในภาชนะที่ปิดฝามิดชิด เวลาเอามาใช้ ก็เอามาใส่ลงไปในหม้อดินสัก ๒ กำมือ เติมน้ำให้ท่วมพอสมควร ต้มเคี่ยวให้เดือดอ่อนๆ ด้วยเวลาประมาณ ๑๕-๒๐ นาทียกลงปล่อยเอาไว้ให้เย็นไปเองขนาดรับประทานดื่มเช้า กลางวัน และเย็น ครั้งละ ๑ แก้ว หรือดื่มแทนน้ำชาก็ได้ทั้งวัน แทนน้ำชาจีนไปได้เลยหิวน้ำก็ดื่มน้ำกาฝากต้นมะม่วงนี้แหละสรรพคุณแก้อาการความดันโลหิตสูงได้ดีมากมีผู้หายจากอาการของโรคนี้มาก่อนแล้วมากมาย
ยารักษาความดันโลหิตสูงขนานที่ ๓
ส่วนผสมของตัวยากาฝากมะม่วงกะล่อนทั้งห้า (ต้น ใบ ราก) สดๆ ด้วยการตัดเอามาจากต้นมะม่วงกะล่อน สับเป็นชิ้นเล็กๆ ๑ กก.วิธีปรุงยาเอากาฝากมะม่วงสดๆ มาสับเป็นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งสนิท ซึ่งจะต้องตากหลายๆ แดดแล้วเอามาใส่ลงไปในภาชนะที่ปิดฝามิดชิด ป้องกันอากาศเข้าไปได้ เก็บเอาไว้ใช้ได้นานวันเวลาจะใช้เอากาฝากมะม่วงที่ตากแห้งแล้วนี้ มาใส่ลงไปในหม้อดินสัก ๒ กำมือ เติมน้ำสะอาดลงไปพอท่วมตัวยานี้ ต้ม เคี่ยวให้เดือดอ่อนๆ ประมาณ ๑๕ นาที ให้ตัวยาละลายออกมามากๆ แล้วยกลงปล่อยเอาไว้ให้เย็นไปเองขนาดรับประทานดื่มน้ำกาฝากมะม่วงกะล่อนนี้ ครั้งละ ๑ แก้ว เช้า กลางวันและเย็น หิวน้ำก็ดื่มน้ำนี้แทนน้ำไปเลยก็ได้สรรพคุณอาการความดันโลหิตสูง จะค่อยๆ ทุเลาลงไปเรื่อยๆ จนหายเป็นปกติดีแล้ว ก็หยุดดื่มได้มีผู้หายจากอาการของโรคนี้มาก่อนแล้วมากมาย
ที่มา www.puttanimit.net
ตำรับยาของตาไก้ ใช้เป็นยาแก้ปวดเมื่อย แก้กษัย บำรุงกำลัง ใช้ตาไก้ ตากวง เถาวัลย์เปรียง เถาวัลย์เหล็ก (เครือเขาแกลบ) ต้มกินเป็นประจำ ตัวอย่างตำรับยาระบาย ใช้ตาไก้ ตากวง แก่นนมสาว แก่นดูกใส รากเกียงปืน กาฝากต้นติ้ว ต้มกิน
ตำรับยาเมืองน่าน ( อ่านเพิ่มเตมในเวปเอาลอกไม่ไหวภาษาเมืองและไม่ให้ก้อป
ตำรายาเมืองน่าน ... เขามวก ค้องเขาเขียว ไม้หนิบนม กาฝากหมากนาว งาช้าง เท่านี้แล ฝนกินเทิอะ ตายแท้แล* เนิ้อเราเหิย เถ็ก ขี้ฅ้านเตมธี ฯ
ที่มา http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpage&pid=156
ตำรับยากาฝากภาคกลาง
ยากาฝาก (ตำรับอาจารย์พรชัย)
สรรพคุณลดเบเหวานและความดันโลหิต
วิธีทำ ใบกาฝากที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้ต่างๆที่สำคัญคือ กาฝากนุ่น กาฝากเสม็ด กาฝากสัก โดยเฉพาะกาฝากที่เหมือนริบบิ้นคือแบนๆยาวๆ หรือที่เรียกว่ากาฝากซ้อนกาฝากจะมีสรรพคุณทางยามาก นำมาล้างให้สะอาดผึ่งแดดหรือลมให้สลบแล้วอบแห้ง บดละเอียดชงกับน้ำอุ่นครั้งละ ๑ช้อนชารับประทานวันละ ๒ ครั้งเช้าเย็น หรือกรอกใส่แคปซูล๕๐๐มก. รับรับประทานครั้งละ ๔ แคปซูล ๔ เวลา เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน
ข้อมูลจากหนังสือ ตำรับยาสมุนไพร สืบสาน ส่งต่อ พัฒนา โดยผู้ใหญ่วิบูลย์  เข็มเฉลิม
พูดถึงผู้ใหญ่วิบูลย์  เข็มเฉลิม ท่านคือปราชญ์คนสำคัญของแผ่นดินคนหนึ่งด้านวนเกษตรหรือการปลูกต้นไม้เพื่อเป็นบำเหน็จบำนาญของชีวิต  คุณพ่อท่านเป็นหมอยาแผนโบราณ
ส่วนใครอยากเห็นว่ากาฝากซ้อนกาฝากเป็นยังไงอ่านเรื่องถัดๆไปมีรูปอยู่ในเรื่องกัลปพฤกษ์ เพราะเราไปเห็นบนต้นกัลปพฤกษ์  เก็บรูปไว้ก่อนโดนตัดทิ้งไม่นาน

ตำรับยาบำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงเลือด ช่วยให้นอนหลับดี แก้ปวดเมื่อยทั่วร่างกาย แก้เส้นเอ็นตีบตันไขมันสูง
ตัวยา มีดังนี้
กาฝากต้นหม่อน  กำลังช้างดำ อย่างละ ๔๐๐ กรัม
เถาโคคลาน ๓๕๐ กรัม
กำลังเสือโคร่ง กำลังหนุมาน กำลังช้างเผือก เถาวัลย์เปรียง เถาหมวดแดง ชะเอมจีน อย่างละ ๓๐๐ กรัม
โกฐเชียง โกฐหัวบัว โกฐสอ อย่างละ ๒๕๐ กรัม
กำลังวัวเถลิง รากอบเชย อย่างละ ๒๐๐ กรัม
ดอกคำฝอย ๑๕๐ กรัม
โกฐน้ำเต้าจีน ดอกกานพลู อย่างละ ๑๐๐ กรัม
วิธีใช้ ดองเหล้า หรือทำเป็นผงชงกิน หรือปั้นเป็นลูกกลอน กินวันละ ๒-๓ ครั้ง ก่อนนอนหรือก่อนอาหารก็ได้
ตำรับยาแก้ปวดหลังปวดเอว เจ็บปวดเท้า
ตัวยามีดังนี้
เถาโคคลาน รากหญ้าคา อย่างละ ๘๐ กรัม
กาฝากต้นหม่อน เถาเอนอ่อน เถาม้ากระทืบโรง เปลือกตะโกนา กำลังช้างเผือก อย่างละ ๖๐ กรัม
เถาวัลย์เปรียง กำลังเสือโคร่ง กำลังหนุมาน หญ้าหนวดแมว อย่างละ ๕๐ กรัม
วิธีใช้ ต้มยาวันละหม้อ กินต่างน้ำดื่ม
ที่มา http://www.insideherb.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539189580
ตำรับยากาฝากของทางเหนือ
ยาถิบแก้สะป๊ะ เอากาฝากเหมือดคน กาฝากกอก กาฝากเมี่ยง กาฝากผักหละ กาฝากเดื่อป่อง กาฝากฝูงคอบ หอยทะระ นมผา หนังแรด ฝนตกน้ำกินเทอะ
ที่มา thrai.sci.ku.ac.th
ยาแก้สะปะ3
ประกอบด้วยสุระปิ๊ตคำ ตึงเคือคำ ฝูงขอบ ปิ๊ตเต๊าะ ก๋าฝากผักหละ ก๋าฝากขี้เหล็ก กาฝากกอก กาฝากงิ้ว กาฝากข่อย กาฝากมะเดี่อป่อง จันตัง ๒ นาคกะสวย ตะไหลตีนช้าง นอแรด เขาเยืยง บาดลังก๋า หอยตะละ นมผา ดินสอแก้ว ดูกป๋าฝา (กระดองตะพาบน้ำ) แก้วขาว ดูกหมาดำ (กระดูกหมาดำ) ฝนใส่น้ำข้าวจ้าว (ใส่ข้าวเจ้าสารดิบเล็กน้อยลงไปในยาที่ฝนแล้ว)
ดูแล้วเป็นอาการของพวกติดยาเสพติด ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
ที่มา http://www.samunpri.tht.in/aticle9.html
ตำรับยาภาคอีสาน
โรคกระเพาะอาหาร


ตำรับที่ 2 ของนายจันที วรรณวงษ์
อาการ การดูคนไข้ เจ็บท้อง กินข้าวไม่ได้จะอาเจียนอยู่เรื่อยๆ
กระบวนการรักษา ใช้  เห็ดตอแดง   กาฝากกระโดนน้ำ  ต้มกินหม้อละ 1 ถ้วย กินแทนน้ำ ต้มได้ 5
ครั้ง กินไม่เกิน 2 หม้อก็หาย
ค่าตั้งคายปลงคาย ค่าคาย ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ เงิน 1 บาท ปลงคายวันอังคารตอนเช้า


ตำรับที่ 3 ของนายดี โคตรงาม
อาการ การดูคนไข้ให้ถามอาการคนไข้ว่าเจ็บแน่นท้อง ร้อนใต้ลิ้นปี่ ดันมาทางซ้าย ขวา
ด้านบน ไม่ผายลม มีแต่เรอหรือไม่
กระบวนการรักษา
1. ถ้าเป็นตามอาการที่ดูจากคนไข้แล้วให้กินยาตามสูตรยา โดยกินอุ่น ๆ ครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น ให้กิน 7 วันใช้มัดเก่าจนจืด จึงเอามัดใหม่มาต้มกิน (ให้ไป 1 มัด) ก่อน ถ้าอาการดีขึ้น ให้กลับมาเอาอีก 3 มัด ไปกินอีก 21 วัน
2. เพิ่มบวบลม 3 ลูก ต้มใส่กันกินกับยาตามข้อ 1 เป็นยาตัดราก ใช้ในกรณีกิน 7 วันแรก ทดลองดู 7 วัน ถ้าบางเบาให้กลับมาเอายาอีก
ตำรายาหรือคาถา ตำรับยารักษากระเพาะอาหาร
ทุกส่วน กาฝาก , แก่น ไม้ยาง , หัว/ราก ตะไคร้ , แก่น จำปาดอกขาวใจเหลือง , น้ำตาลทราย นำทั้งหมดมาต้มน้ำเดือดและกินอุ่น ๆ ครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง เช้า-เที่ยง-เย็น ให้กิน 7 วัน ต้มจนยาจืดถ้าอาการดีขึ้น จะมีอาการผายลมและท้องอ่อนลง ให้กลับมาเอาอีก 3 มัด ไปกินอีก 21 วัน
เพิ่มบวบลม 3 ลูก ต้มใส่กันกินกับยาตำรับด้านบนเป็นยาตัดราก ใช้ในกรณีกิน 7 วันแรก
ค่าตั้งคายปลงคาย ค่าคาย เงิน 6 บาท
ตำรับยาภาคใต้
ตำรายาและวิธีการรักษาโรค จังหวัดชุมพร ยาแก้อัมพาต แก่นพลับพลึง กาฝากทับทิม กาฝากส้มมะขาม ทองพันชั่ง หัวร้อยรู ลูกประคำดีควาย การบูร ฝ้าฝักเพกา โกศสอ ใบส้มกบ ฯลฯ
อันนี้ได้ข้อมูลมาไม่หมดเพราะเขาให้เสียเงินเพื่อเข้าไปอ่านในเวปเขา คนทุกวันนี้โลภกันขนาดนี้
นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมตำรับยาโดยนโยบายของพญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อดีตอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งท่านสนใจตำรับยารักษามะเร็งเป็นพิเศษท่านจึงให้ทั่วประเทศรวบรวมตำรับไว้เป็นเบื้องต้น ได้รายงานข้อมูลตำรับยารักษามะเร็งในตำรับยาไทย ว่า ปัจจุบันมีจำนวนตำรับยาสมุนไพรที่แจ้งขึ้นทะเบียนไว้ 86,095 ตำรับ เป็นตำรับยารักษามะเร็ง 1,927 ตำรับ ในจำนวนนี้เป็นตำรับยาใช้รักษามะเร็งตับ 85 ตำรับ รักษามะเร็งเต้านม 91 ตำรับ รักษามะเร็งปากมดลูก 43 ตำรับ และรักษามะเร็งปอด 44 ตำรับ จากการสำรวจ ข้อมูลของหมอพื้นบ้านพบว่า มีหมอพื้นบ้านที่ครอบครองตำรับยาสมุนไพรรักษามะเร็ง 228 คน ที่ยังคงใช้ตำรับยารักษาโรคมะเร็งในปี 2553 จำนวน 149 คน และหมอพื้นบ้านที่ยินดีเปิดเผยตำรับยาที่ตนเองรักษาจำนวน 11 คน รวม 13 ตำรับ

สำหรับองค์ประกอบในตำรับยาพื้นบ้าน 13 ตำรับ ประกอบด้วย พืชวัตถุ 52 ชนิด ได้แก่ นมวัวชิ้ง ชาติตระโก เขือง ขาวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ฝางเสน ทองพันชั่ง กระชายแดง ขิง ดีปลี ขันทองพยาบาท กาฝากกรุง กาฝากตะแพง กาฝากคำป้อม กาฝากม่วงน้อย กาฝากม่วงใหญ่ ต้นตะกวง ตะไคร้ กำแพง 7 ชั้น เปลือกดานงาน โหราเท้าสุนัข รากตะโกนา พญารากเดี่ยว แท่งทอง บอระเพ็ด ลำดวนดง หม้ออบ ย่านางบ้าน ยาน่องแดง ลีลาวดี แน่งหอม บานไม่รู้โรยแดง บานไม่รู้โรยขาว ข้าวโพด ดอกคำฝอย สมอไทย มะกรูด พริกไทยดำ ไพล ยาดำ รากกะตังใบ รากคำห้อย เกสรบัวหลวง จ้านแดง ขมิ้นชัน กระชาย พุทธรักษา ขมิ้นอ้อย พริกไทย โกฏ สออ ปลาไหลเผือก และหนอนตายยาก สัตว์วัตถุ 2 ชนิด ได้แก่ คางคก กระดูกควายเผือก แต่ละตำรับมีเอกลักษณ์เฉพาะหมอ และมีการใช้สมุนไพรในตำรับแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะพื้นที่ อย่างไรก็ตามมีการใช้หัวยาข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ ประกอบในตำรับยารักษาโรคมะเร็งถึง 6 ตำรับใน 13 ตำรับ โดยกลุ่มมะเร็งที่หมอพื้นบ้านมีประสบการณ์ในการรักษา 5 ลำดับจากมากไปหาน้อย คือ มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งมดลูก และมะเร็งผิวหนัง
ที่มา baanmaklomp.blogspot.com

ช่วงนี้กำลังสนใจวัตถุมงคล๒ตัวคือกาฝากกับเมล็ดสวาด สนุกดีกำลังหาข้อมูลอยู่
วันนี้เอาเรื่องกาฝากก่อน
กาฝากที่นำมาใช้ทางเมตตามหานิยมก็มีดังนี้
1)กาฝากรัก เป็นเสน่ห์ใช้ทำเครื่องรางทำให้มีคนรักคนหลงเป็นเมตตามหานิยม
2)กาฝากมะยม ทำให้คนที่มีมีคนนิยมชมชอบ
3)กาฝากขนุน ทำให้มีคนคอยอุปถัมคำชูคอยเกื้อหนุน
4)กาฝากมะรุม ทำให้มีคนรุมล้อมเหมาะในการค้าขายมีโชคมีลาภมีคนอยากอยู่ไกล้ๆ
5)กาฝากคูณ ทำให้มีโชคลาภเพิ่มพูลคูณขึ้น
6)กาฝากทับทิม ทำให้มีโชคมีลาภ
7)กาฝากกาหลง ทำให้มีคนมารักมาหลง

ถ้าจะตัดแบบมีพิธีการตามความเชื่อของคนโบราณก็ต้องทำพิธีขอต่อแม่ธรณีก่อน จุดธูปเจ็ดดอกและหยาดน้ำบอกแม่ธรณีจึงจะได้ของดีมาด้วย ถ้าไม่ได้ทำพิธีตัดมาก็คือกิ่งไม้ธรรมดาเพราะไม่ได้ขอ
กลั้นใจ ภาวนา นะโมตัสสะ รอบเดียวแล้วตัด เมื่อจบคำว่าสะ กิ่งของกาฝากนั้นต้องขาดพอดี เวลาเที่ยงตรงดีที่สุด และวันที่ตัด ถ้าเป็นข้างขึ้นจะดีมาก นิยมกาฝากเฉพาะที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือเท่านั้น
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

บรเพ็ดสูตรที่หลวงปู่เจี๊ยะท่านใช้รักษาอาการอาพาธ สาธุ

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




พยายามถ่ายให้เห็นว่าต้นสนสูงแค่ไหนเค้าก็ล้อเล่นลงมาได้ยาวแค่นั้นแต่ไม่สามารถจับภาพได้ทั้งหมด ครั้นตั้งกล้องไกลไปยิ่งดูไม่ออก เอาไปตามวาสนาแล้วกัน
ชิงช้าชาลีที่อยู่บนต้นสนสูง ราว๑๐เมตร

ใบเหมือยนบรเพ็ดแต่ไม่ค่อยมีปุ่มปม


ทอดเถายาวเลื้อยเฟื้อย


ยืมภาพกันมาเป็นทอด ๆ ขอบคุณๆๆ



ยืมภาพกันมาเป็นทอดๆเราไม่เคยเห็นดอกเค้าเลย

จริงๆน่ามหัศจรรย์ เครื่องโน๊ตบุคของเรามันเก่าคร่ำคร่ามาก เงินจะซื้อจะซ่อมก็ไม่มี ไฟไม่เข้ามานานมาก เป็นอาทิตย์ๆ ไม่ว่าจะปลอบจะขู่ยังไงก็ไม่เป็นผล จนถอดใจยอมรับความเป็นไป เมื่อวานบังเอิญ เสียบปลั๊กโทรศัพท์มือถือ โดยที่ปลั๊กโน๊ตบุคคาอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้สนใจมัน เพราะคิดว่ามันตายดับไปแล้ว อยู่ ๆ ไฟมันติดขึ้นมา แปลกดีนะ เพราะปกติถ้าจะติดก็ไม่เกินสองชั่วโมง นี่ติดข้ามวันข้ามคืน มาจนบัดเดี๋ยวนี้ เห็นจะเป็นเพราะอยากให้เราทำอะไรบางอย่าง จนถึงตอนนี้เราอ่านประวัติหลวงปู่เจี๊ยะในอินเตอร์เน็ทที่ยาวมากถึง ๒๕ หน้า อ่านจากหลังไปหน้า จากหน้าไปหลัง ดูวัตรปฏิบัติอันอาจหาญของท่าน เสียดายท่านไม่อยูแล้ว แต่สิ่งที่ท่านได้กระทำทิ้งไว้ยังเป็นสิ่งเตือนใจให้แก่ผู้อยู่ข้างหลังผู้ด้อยปัญญาอย่างเราได้ ความตอนหนึ่งท่านเล่าถึงความเจ็บป่วยของท่านดังนี้ "เจ็บป่วยด้วยโรคปวดเส้นเอ็น
เมื่อเราจำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคกกับท่านพระอาจารย์มั่น เราได้เกิดเป็นโรคชนิดหนึ่งคือโรคเส้นเอ็น รู้สึกปวดเส้นอย่างแรงคล้ายถูกงูรัด เป็นจากเอวลงมา อาการปวดขยายออกไปทั้งตัวเดินไม่ได้ ครูบาทองปาน ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่เคยอยู่เชียงใหม่กับหลวงปู่มั่นด้วยกัน ได้ทำยาขึ้นขนานหนึ่ง โดยเอาข้าวสารแช่น้ำและตำเป็นน้ำแป้งขาวๆ ประมาณ ๔-๕ ขวดเหล้า แล้วเอาบอระเพ็ดกำใหญ่มาตำ แล้วเอาน้ำใส่ กรองได้น้ำบอระเพ็ดพอประมาณ ๔-๕ ขวดเหล้าเหมือนกัน เสร็จแล้วเอาน้ำแป้งและน้ำบอระเพ็ดที่ตำนั้นผสมกัน แล้วเอาไปฝังทั้งขวดไว้ที่ใต้บันไดบ้านสามคืน จึงขุดเอามาฉันเวลาฝังให้จุกขวดโผล่จากดินประมาณ ๑ นิ้วฟุตตามพระวินัย น้ำแป้งข้าวนั้นพระจะฉันนอกเวลาไม่ได้ จึงต้องฉันระหว่างเช้าถึงเที่ยง ยานี้ฉันประมาณ ๓ วัน โรคที่เจ็บปวดตามเส้นนั้นก็หายไป ตำรายานี้ท่านว่าเป็นตำรายาของพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม มีคุณสมบัติแก้ไข้มาลาเรียได้ด้วย ขนาดของยาที่ฉันนี้ ให้ฉันวันละ ๑ ขวดเหล้า จนยาหมด
ระหว่างที่เราป่วยอยู่นี้ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเมตตาจัดอาหารมาให้ฉัน แต่เราไม่ฉัน กราบเรียนท่านกลับไปว่า “ครูบาจารย์ ถ้าจะตายก็ให้มันตายไปเถอะ” แต่ก็ไม่เป็นอะไร ต่อมาอีก ๒ วันก็หายเป็นปกติ"

อันบรเพ็ดนี้ช่วยคนให้รอดพ้นจากความทรมานของโรคภัยไข้เจ็บมานักต่อนัก โดยเฉพาะผู้คนที่ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร เป็นสุดยอดสมุนไพรอายุวัฒนะตัวหนึ่งเลยในความเห็นของเรา
บอระเพ็ด
เคยถามเจ้าหน้าที่ป่าไม้เค้าเล่าให้ฟังถึงพวกลักลอบหาของป่าที่ต้องแอบซ่อนอยู่ในป่าลึกๆเป็นเวลานานๆ  คนพวกนี้จะมีบรเพ็ดติดตัวไว้กินป้องกันและรักษาไข้ป่า  ไอ้ที่ว่าป้องกันได้คือ  กินบรเพ็ดซะจนเลือดขมจนยุงป่าไม่อยากกินเลือด  อันนี้ไม่ยืนยัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f.& Thomson
วงศ์ : Menispermaceae
ชื่ออื่น : ตัวเจตมูลยาน เถาหัวด้วน (สระบุรี) หางหนู (สระบุรี,อุบลราชธานี) จุ่งจิง เครือเขาฮอ (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม (หนองคาย)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล ส่วนทั้ง 5 เถาสด
สรรพคุณ :
ราก - แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น- ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้- เจริญอาหาร
ต้น- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ- บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ- แก้อาการแทรกซ้อน ขณะที่เป็นไข้ทรพิษ- แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้เลือดพิการ- แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สะอึก แก้พิษฝีดาษ- เป็นยาขมเจริญอาหาร- เป็นยาอายุวัฒนะ
ใบ- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้จับสั่น- ขับพยาธิ แก้ปวดฝี- บำรุงธาตุ- ยาลดความร้อน- ทำให้ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสดชื่น- รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย- ช่วยให้เสียงไพเราะ- แก้โลหิตคั่งในสมอง- เป็นยาอายุวัฒนะ
ดอก- ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู
ผล- แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ- แก้สะอึก และสมุฎฐานกำเริบ
ส่วนทั้ง 5บำบัดรักษาโรค ดังนี้- เป็นยาอายุวัฒนะ แก้ปวดเมื่อย แก้ไข้ปวดศีรษะ รักษาฟัน รักษาโรคริดสีดวงทวาร ช่วยให้เจริญอาหาร แก้ฝีมดลูก ฝีมุตกิต แก้ร้อนใน รักษาโรคเบาหวาน ลดความร้อน แก้ดีพิการ แก้เสมหะ เลือดลม แก้ไข้จับสั่น
วิธีการและปริมาณที่ใช้ : ใช้เป็นยารักษาอาการดังนี้
อาการไข้ ลดความร้อน- ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ครั้งละ 2 คืบครึ่ง (30-40 กรัม) ตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ- หรือใช้เถาสด ดองเหล้า ความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ของยาที่เตรียมแล้ว
เป็นยาขมช่วยเจริญอาหาร เมื่อมีอาการเบื่ออาหารโดยใช่ขนาดและวิธีการเช่นเดียวกับใช้แก้ไข้
สารเคมี : ประกอบด้วยแคลคาลอยด์หลายชนิด เช่น Picroretine, berberine นอกจากนี้ยังประกอบด้วย colonbin, tintotuberide, N - trans - feruloyltyramine, N - cisferuloytyramine, phytosterol, methylpentose

บรเพ็ดมีน้องสาวชื่อไพเราะว่าชิงช้าชาลี ขมน้อยกว่า ปุ่มปมน้อยกว่า มีรากอากาศทิ้งตัวลงมาเหมือนม่านบาหลี สรรพคุณใช้ทดแทนกันได้ ที่ทำงานเราเค้าห้อยระโยงระยางอยู่ทั่วไป ไม่ยักรู้ว่าเป็นไม้หายาก จนพวกสมาชิกในแมกโนเลียเค้าพูดถึงยอมแลกกับต้นไม้ที่เราคิดว่าหายาก เราถึงรู้ว่าชิงช้าชาลีหายาก เพราะพวกสมาชิกในแมกโนเลียไทยแลนด์เค้าเซียนของจริง ต้องถือว่าพวกนี้สุดยอด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tinospora cordifolia., Mierชื่อไทยพื้นเมือง : จุ่งจะลิงตัวแม่วง์ : Menispermaceaeพืช ชนิดนี้เป็นไม้เลื้อยยืนต้น ส่วนใหญ่จะเห็นลำต้นพาดหรือพันอยู่กับต้นไม้ กำแพงและเสาต่างๆ เป็นไม้เนื้ออ่อนแต่เหนียวมากใช้แทนเชือกได้ ลำต้นหรือที่เรียกว่าเถา มีลักษณะกลมโตเปลือกขรุขระมีตาแตกเป็นจุดเล็กๆสีน้ำตาลอ่อนประอยู่ตลอดเถา เป็นไม้ใบเดียว ใบจะมีสีเขียวรูปร่างเหมือนหัวใจ ใบจะเรียงสลับทางกันไปตามลำต้น การเลื้อยจะมีลีลาที่ทอดไปอย่างสวยงามมากเหมือนธรรมชาติได้เจาะจงให้ เถาวัลย์ชนิดนี้มีความงามและอ่อนหวานเหนือกว่าเถาวัลย์ชนิดอื่นดอก ของชิงช้าชาลีจะออกราวเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม ดอกมีสีเหลืองอ่อนเป็นดอกฝอยๆ และมีกลิ่นหอมมาก เวลามีดอก ลำต้นจะสลัดใบทิ้งหมดเถา เพื่อต้อนรับดอกอ่อนที่เกิดขึ้นการ ขยายพันธ์ง่ายมาก เพียงแต่ท่านปักกิ่งชิงช้าชาลีไว้ในดินที่มีความชุ่มชื้นพอควร มันก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องดูแลรักษามากเหมาะกับการปลูกเป็นไม้เลื้อยประดับมาก ยิ่งถ้าท่านจัดเถาของชิงช้าชาลีที่โตเต็มที่แล้วโยงให้แน่นระหว่างเสาหรือ ต้นไม้ใหญ่ ท่านก็จะได้ชิงช้าไว้ให้เด็กๆเล่น และถ้าได้พันหลายๆเถาและและถึงตอนมีดอกออกตลอดเถา อาจมีผู้ใหญ่แย่งเด็กเล่นชิงช้าก็ได้ (ข้อมูลจาก magnolia thailand ปล.ยืมภาพและข้อมูลดี ๆ มาจากhttp://suan-theva.igetweb.com/index.php?mo=3&art=171897 )

ถ้าแม้นมีผู้ใดนำสูตรตำรับนี้ไปรักษาอย่าลืมอาราธณาเมตตาบารมีขององค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ และน้อมนำคำสอนของท่านเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตของเรายิ่งจะเป็นการดี
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

นมวัว รสชาติดีในป่า อลังการไม้พุ่มรอเลื้อย

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




ความสุขของชาวบ้าน

รูปนี้ต้องเป็นรูปสุดท้ายแต่ขี้เกียจเรียง ทำไม่เป็น รู้แต่ว่าเค้าอร่อยดี
กิ่งเค้kยาวพาดไปมา กินบริเวณไม่ใช่น้อย



ลูกเค้าเหมือนมะปราง ขนาดก็พอ ๆ กัน



สีส้มสดใส ยั่วน้ำลายดีจัง


ใบเขียวสดปลายใบมน
เราชอบเข้าไปนั่งซุกหมกตัวอยู่ตามร้านขายหนังสือเป็นเวลานาน ๆ ด้วยไม่มีเงินจะซื้อได้ทุกเล่ม เวลาทุกข์มากก็จะมุดอยู่ในซอกธรรมะ จนไปเจอกับหนังสือที่พูดถึงหลวงปู่เจี๊ยะ ชื่นชมท่านมาก บางทีอ่าน ๆ ไปทั้งขำทั้งตื้นตันนำตาคลอ พึ่งจะรู้ว่า พระอรหันต์ที่แท้ มิใช่ดูเพียงภายนอก ต้องสัมผัสให้ลึกถึงธรรมะ อันบริสุทธิ์ในใจท่าน สาธุ สาธุ สาธุ

อำนาจผ้าขี้ริ้วห่อทอง
หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้นิยมแต่ผ้าเก่า ๆ จีวร สบง อังสะ ปะ ๆ ชุน ๆ บาตรใบเดียว กลดหลังเดียว ผ้ากลดผืนเดียว กล่องเข็มกล่องเดียว ใช้ตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งวันตาย ยินดีเพียงบริขารที่มี ไม่เสาะแสวงหา ผู้เป็นตำนานผ้าขี้ริ้วห่อทอง สาวกของพระศาสดา ศิษย์ก้นกุฏิท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระสหายของสมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) สหธรรมิกหลวงตามหาบัว ญาณสมปนฺโน อันเตวาสิกท่านพ่อลี ธมฺมธโร คุณธรรมเติบใหญ่ความดีปรากฏเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน ณ บัดนี้แล้ว
ชีวิตจบบริบูรณ์
ชีวิตของหลวงปู่เจี๊ยะ จนฺโท เบื้องต้นเรียนจบพรหมจรรย์ ท่ามกลางมีวัตรปฏิบัติที่งดงามอาจหาญท้าทาย ที่สุดเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านบริบูรณ์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด...เป็นชีวิตที่งามยิ่ง
เบื้องหลังชีวิตที่ท่านจากไป คือ ตำนานที่ต้องเล่าขานไม่รู้จบ
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามที่เป็นหลักเป็นฐานมั่นคง
ภูริทัตตเจดีย์ สำหรับบรรจุทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ผู้เป็นบูรพาจารย์
เป็นผลงานที่ท่านภูมิใจเป็นที่สุด เพราะนั่นคือ “อาจริยบูชา”
ประวัติ ปฏิปทา คติธรรม ของหลวงปู่เจี๊ยะ อาจจะแตกต่างจากพระกรรมฐานรูปอื่นในแง่ปลีกย่อย แต่หลักใหญ่แล้วเป็นเอกเทศ ท่านไม่กว้างขวางเรื่องปริยัติธรรมภายนอก รอบรู้เฉพาะเรื่องจิตตภาวนา อันเป็นธรรมภายใน ท่านปฏิบัติลำบากแต่รู้เร็ว คำสอนของท่านก็เป็นประเภทปัจเจกะเฉพาะตน เพราะท่านมุ่งเน้นทางด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับท่านมีบารมีธรรมที่บ่มบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน เป็นสิ่งที่ช่วยเกื้อหนุนอยู่อย่างลึกลับ การปฏิบัติของท่านจึงนับว่า รู้เร็วในยุคปัจจุบันสมัย ที่มนุษย์มีกิเลสหนาขึ้นโดยลำดับ
ท่านจึงเป็นแบบอย่างทางสงบแก่โลก ที่ระงมปนเปื้อนไปด้วยกองทุกข์นานาประการ ท่านสอนให้พวกเรามองอะไร ไม่ควรมองแต่ด้านเดียว การมองอะไรไม่เพียงใช้สายตาเป็นเครื่องตัดสินเท่านั้น แต่ต้องใช้แววตา คือ ปัญญาเป็นเครื่องประกอบการตัดสินใจ ในการมองโลกและธรรม
เพราะผู้ปฏิบัติธรรมไม่ควรมองข้ามปมคำสอนเพียงเพราะสายตาเท่านั้น ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่โลก ย่อมไม่ละเลยทั้งกอไผ่และภูเขา
เพราะไม่มีใครเลย ที่จะมีความดีความชั่วเพียงอย่างเดียว แม้ดอกบัวที่มีกลีบงามละมุนก็ยังมีก้านที่ขรุขระ
ดุจแผ่นดิน ไม่มีใครอาจทำให้เรียบเสมอกันได้หมด ฉันใด มนุษย์ทั้งหลายจะทำให้เหมือนกันหมดทุกคนก็ไม่ได้ ฉันนั้น
ในความดี ในความเป็นพระที่ดี ก็ย่อมมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ข้อบกพร่องมันไม่เป็นที่เสียหายต่อส่วนรวมตลอดจน ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ข้อบกพร่องนั้นก็ควรเป็นข้อยกเว้น ไม่ควรตามตำหนิให้มากความ เช่นเดียวกับในดวงจันทร์แม้จะมีตำหนิเป็นจุดดำ ๆ อยู่ตรงกลางดวง แต่ชาวโลกก็ไม่ควรไปสนใจตามตำหนิอะไรมากนัก
หลวงปู่เจี๊ยะท่านจึงเป็นผู้มีจิตอิสระมานาน ไม่เกี่ยวเกาะยึดติดพัวพันในบุคคล กาล สถานที่การปฏิบัติของท่านมุ่งเน้นที่ผลการปฏิบัติมากกว่ารูปแบบแห่งการปฏิบัติ เพราะนี่เป็นนิสัยสะท้านโลกาและปฎิปทาที่เป็น ปัจจัตตัง ยากที่ใคร ๆ จะเลียนแบบได้ ท่านจึงเป็นสัตบรุษ พุทธสาวก ที่หาได้โดยยากยิ่ง สมดังพุทธภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ทุทฺทนํ ททมานานํทุกฺกรํ กมฺมกุพฺพตํ
อสนฺโต นานุกุพฺพนฺติสตํ ธมฺโม ทุรนฺวโย.
สัตบุรุษให้ในสิ่งที่บุคคลอื่นให้ได้ยาก กระทำในสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำตามได้ยาก
คนที่ไม่ดีจริง ไม่แกร่งจริง ย่อมทำตามท่านไม่ได้
เพราะกรรมของสัตบรุษ ยากที่คนไม่ดีจะประพฤติตามได้
สนฺตกาโย สนฺตวาโจสนฺตมโน สุสฺมาหิโต
วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุอุปสนฺโตติ วุจฺจตีติฯ
ภิกษุผู้มีกาย วาจาสงบ ยังไม่นับว่าเป็นผู้สงบแท้ แต่ผู้ที่มีกาย วาจา และใจสงบนั้นแล เราตถาคตจึงเรียกภิกษุนั้นว่า เป็นผู้สงบอย่างแท้จริง และเป็นผู้คลายจากความลุ่มหลงในโลกทั้งปวงฯ
คาถาหลวงปู่เจี๊ยะ
วันไหนท่านปวดที่ขา ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวหรือเจ็บปวดในที่อื่นใดก็ตาม ท่านก็จะให้ผู้ที่ดูแลท่องคาถาเป่าให้ท่าน ท่านบอกว่าเป็นคาถาดี โดยให้ท่องว่า
“นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา”
“ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้หลุดพ้นทั้งหลาย
ความนอบน้อมจงมีแก่ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นทั้งทลาย”

ต้นนมวัวจากป่าชุมชนอำเภอห้วยแถลง
เราไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นตัวเดียวกับที่โพสต์ในอินเตอร์เน็ทของคนอื่นๆรึเปล่า เพราะเราไม่ใช่นักพฤกษศาสตร์หรือนักอนุกรมวิธาน สงสัยเพราะว่าต้นที่เราเห็นผลเค้าเดี่ยวๆ ไม่เห็นเป็นพวงเลย แต่ชาวบ้านก็เรียกนมวัว และรสชาติอร่อยกว่า นมควายที่เคยกิน ที่เป็นพวงอันนั้นฝาดมาก อันนี้รสเหมือนมะปรางหวานนะเราว่า น่าจะเป็นคนละต้นกัน เพราะเมล็ดเป็นเมล็ดเดี่ยวใหญ่ ๆ ด้วยนะ

ชื่อที่เรียก ต้นนมวัว

ชื่ออื่นๆ หมากผีผ่วน,ผีผ่วนนมแมว(ภาษากลาง) นมวัว (พิษณุโลก กระบี่) พีพวน (อุดร) บุหงาใหญ่(ภาคเหนือ

ลักษณะ

เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยมีความสูง 5 เมตร กิ่งอ่อนมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปวงรีหรือ รูปไข่ผิวใบมีขนสีน้ำตาลแดงทั้งสองด้าน กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 4.5-10 ซม. ดอกจะออกเป็นกระจุก 2-3 ดอก ที่กิ่งก้าน กลีบดอกสีแดงเข้ม กลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม รูปไข่หรือรูปไข่กลับ เมื่อสุกมีสีแดงสด การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด
ประโยชน์

แก่นและราก ต้มดื่ม แก้ไข้ซ้ำ ไข้กลับ เนื่องจากกินของแสลง ราก แก้ผอมแห้งแรงน้อย สำหรับสตรี ที่อยู่ไฟไม่ได้หลังคลอดบุตรและช่วยบำรุงน้ำนม ผล ตำผสมกับน้ำ ทาแก้เม็ดผดผื่นคัน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Uvaria rufa Bl.
ชื่อวงศ์ Annonaceae
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

มะกอกเหลื่อม ผลไม้ที่น่ามีการนำไปพัฒนาสู่อุตสาหกรรม

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




ต้นมะเหลื่อม ชายป่า ดูสง่างาม
ความสง่าแต่สงบของธรรมชาติ สอนบางสิ่งบางอย่างให้กับเรา คำตอบล้วนมีอยู่มากมาย แค่ทำใจให้เป็นหนึ่งเดียว

เก็บมาบ้าน ถ่ายภาพเค้าไว้กันลืม

ลูกดก แต่อยู่สูง กระนั้นก็ไม่เกินความพยายามของคนอยากกิน

หลายครั้งที่ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความหวาดกลัว แล้วถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม มันทุกข์นัก เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ความตาย ความพลัดพรากช่างน่ากลัวเหลือเกิน ชีวิตมีแต่เรื่องทุกข์ทรมาน แล้วเกิดมาทำไม ทุกวันนี้พอจะรู้คำตอบบ้างแต่ไม่มากนัก ด้วยด้อยปัญญา แต่กลับคิดว่าความตายไม่น่ากลัว การยังมีชีวิตอยู่ซิน่ากลัว เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันนี้ วินาทีนี้จะเจอกับอะไรบ้าง ชีวิตมนุษย์ที่เวียนว่ายตายเกิดมิสิ้นจึงจำเป็นต้องหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ ไม่ให้ขวัญเสีย เมื่อประสบเหตุอันน่ากลัว หรือไม่พึงประสงค์ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจนั่นก็คือพระรัตนตรัย

พระรัตนตรัยเป็นสรณะอันเกษม เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีอานุภาพเป็นอจินไตย ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคะเนเอาได้ ผู้ที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย จึงจะซาบซึ้งในพระคุณอันไม่มีประมาณ เมื่อมีทุกข์จะช่วยขจัดปัดเป่าให้พ้นทุกข์ มีสุขแล้วก็ทำให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป ชีวิตของเราจะได้รับการคุ้มครองดูแล ทำให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ผู้รู้ทั้งหลายจึงยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุดในชีวิต การทำสมาธิภาวนา ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราเข้าไปพบพระรัตนตรัยภายในได้
มีวาระพระบาลี ที่พระสิริมัณฑเถระได้กล่าวไว้ในขุททกนิกาย เถรคาถาว่า
“ อโมฆํ ทิสฺวา กยิรา อปฺเปน พหุเกน วา
ยํ ยํ วิวหเต รตฺติ ตทูนนฺตสฺส ชีวิตํ
ควรทำวันคืนไม่ให้เปล่าจากประโยชน์ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม เพราะวันคืนผ่านบุคคลใดไป ชีวิตของบุคคลนั้น ย่อมพร่องจากประโยชน์นั้น”

ในเริ่มต้นของการหาที่ยึดเหนี่ยวก็เมื่อจิตใจเป็นทุกข์อย่างที่สุด มองไปทางใดไม่เห็นทางออก จ่อมจมถมเศร้าสิ้นหวัง เมื่อนั้นแหล่ะ เราจะเจอกับพระรัตนตรัย และเมื่อความทุกข์เบาบางเลือนหายไป ยิ่งต้องเร่งปฏิบัติภาวนา เพื่อการไม่ประมาท เพราะคลื่นลูกใหม่กำลังก่อตัวมามิมีที่สิ้นสุด ในห้วงมหรรณพ

เดินหลุดจากป่าออกมาระหว่างรอให้ทุกคนออกมากันให้ครบ โดยนิสัยของคนเดินป่า ต่างพากันหาอะไรทำ อะไรกินเล่น เย็น ๆ ใจ เจอต้นมะเหลื่อม อลังการ ต้นนี้ ลูกดก มากมาย ทั้งกินทั้งเก็บก็ไม่หมด ถือเป็นความเมตตาของธรรมชาติ รสชุ่มคอดี แต่กัดกินได้ทีละน้อยด้วยไม่คุ้นลิ้นนัก เห็นว่าคนจีนเอามาทำเป็นสมอดองขายเรา ก็ผลไม้ชนิดนี้ล่ะ ทำให้นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่เคยซื้อกิน ห่อละสลึง ห้าสิบ พึ่งเห็นต้นจริง ๆ ของเค้านี่เอง

มะกอกเกลื้อน
ชื่ออื่น มะเกิ้ม กอกกัน มะกอกเลือด มะเลื่อม มักเหลี่ยม โมกเหลี่ยม มะเหลี่ยมหิน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Canarium subulatum Guill
ชื่อวงศ์ BURSERACEAE
ลักษณะทั่วไป ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง ๑๐ - ๒๕ เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อย ๓ – ๙ ใบ ใบรูปไข่ แกม รูปรี กว้าง ๓ - ๙ เซนติเมตร ยาว ๖ - ๑๔ เซนติเมตร โคนใบเบี้ยว ท้องใบมีขน ดอกช่อออกที่ซอกใบ ดอกย่อยขนาดเล็กสีขาวอมเหลืองจำนวนมาก ผลสดรูปรี หรือรูปกระสวย สีเขียวอมเหลือง
สรรพคุณ
ทั้งต้น ต้มน้ำอาบ บำรุงร่างกายให้มีกำลัง แข็งแรง
ผล แก้ไอ ขับเสมหะ
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

ตะลุมพุกแดง มะคังแดง แดง หนาม น่ารัก มีเสน่ห์เฉพาะตัว

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา



ลักษณะใบและต้นเล็ก ๆในป่า ต้นเล็กแค่ไหนก็ยังชัดเจนในตัวตน


หนามเป็นหนามจริง ๆ ต้นไม้อะไรตรงไปตรงมาขนาดนี้

ไม่ต้องเหลือข้อสงสัยในชื่อของเค้าให้เสียเวลา แดงซะขนาดนี้

"นี้ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่ง ก็อุตสาหะพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้หนักหนา"

พระมหาชนกตอบว่า... "ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงส์แห่งความเพียร เฉพาะฉะนั้น ถึงจะมองไม่เห็นฝั่งเราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร"

บทสนทนาธรรม ระหว่างนางมณีเมขลาและพระมหาชนก จากพระมหาชนก ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลปัจจุบัน กรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงมีความแน่วแน่ในการประกอบพระราชกรณียกิจ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของทวยราษฎร์ตลอด 50 ปี ที่ทรงครองราชย์ เพราะทรงถึงพร้อมด้วยความเพียร และความเพียรนั้นก็คือประเด็นหลักของพระราชนิพนธ์เรื่องนี้
"คำว่า 'พระมหาชนก' แปลว่าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ หรือพ่อหลวง รากศัพท์เดียวกับคำว่า คิง ในภาษาอังกฤษ หรือ เคอนิก ในภาษาเยอรมัน เรื่องราวของ 'พระมหาชนก' จึงเป็นเรื่องราวของความเพียรของพระมหากษัตริย์ ผู้ไม่ท้อถอย ไม่เกียจคร้าน ไม่บกพร่อง ไม่อ่อนแอ เป็นความเพียรที่สะท้อนถึงความกล้าหาญ กล้ากระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ที่ชอบธรรม เพื่อความผาสุกของประชาราษฎร์..." "พระมหาชนก"...พระราชนิพนธ์ระดับโลก
ที่มา : ประกาศ วัชราภรณ์. พระราชปณิธานในหลวง. กรุงเทพฯ : ประพันธ์สาส์น, 2542. หน้า 213-229.

เดินป่าห้วยแถลง เจอไม้หนาม ลำต้นโดดเด่นมากต้นหนึ่ง ชื่อเค้าคือตะลุมพุกแดง หรือมะคังแดง หนามของเค้าเก๋มาก หนามซ้อนหนามซ้อนหนาม เรียกว่าอหังการกันเลยทีเดียว แล้วแดงจริงๆ ไม่ใช่แค่แดงแดง แต่แด๊งแดง แดงชัดมาก เป็นต้นไม้ที่มีความชัดเจนในตัวเองดี

ชื่อที่เรียก มะคังแดง
ชื่ออื่นๆ มุยแดง ลุมปุกแดง มะคัง มะคังป่า จิ้งก่าขาว
ลักษณะ
มะคังแดงเป็นไม้ยืนต้นสูง 6-12 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านสีน้ำตาลแดง โคนต้นมีหนามโดยรอบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง 8-15 ซม. ยาว 15-22 ซม. ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน หูใบอยู่ระหว่าง ก้านใบ ดอกช่อ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ลกีบดอกสีเหลืองแกมเขียว ผลสด รูปกระสวย มีกลีบเลี้ยง ติดอยู่ เกิดตามป่าเบญพรรณทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ประโยชน์
ต้น ต้มน้ำดื่ม แก้เลือดลมเดินไม่สะดวก ผสมกับหัวยาข้าวเย็น ต้มน้ำดื่ม แก้ไตพิการ เนื้อไม้ แก้เลือดลมเดินไม่สะดวก แก้กษัยไตพิการ แก้ปวดท้อง ขับพิษโลหิต และน้ำเหลือง ตำพอกแผลสด ห้ามเลือดและสมานแผล
ฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ได้ทุกฤดูกาล
ศักยภาพการใช้งานปลูกไว้ให้ร่มเงา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gadenia erythroclada Kurz
ชื่อวงศ์ Rubiaceae
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

ดีนกยูง ข้าวไหม้ สมุนไพรหายาก

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




ลักษณะรากของต้นดีนกยูง จะเป็นหัวๆแบบในรูป

ลักษณะใบของต้นดีนกยูง

ใบดีนกยูงอีกมุม
"อย่าเห็นแก่ความชั่วเล็กน้อย จึงได้กระทำ"
"อย่าเห็นว่าเป็นความดีเล็กน้อย จึงไม่กระทำ"
"มีเพียงคุณงามความดีและสติปัญญาเท่านั้น จึงจะเอาชนะใจผู้คนทั้งปวง"
ธรรมะสัจจะของเล่าปี่
ในทุกสถานการณ์ที่รุมเร้าทำลายจิตวิญญาณ โอกาสในการทำควมดียังคงมีอยู่เสมอ การอ่านประวัติและวัตรปฏิบัติของพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย รวมทั้งอ่านพระจริยะวัตรขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทำให้เราเกิดกำลังใจและมองเห็นปัญหาของตนเองเล็กเท่าเถ้าทุลี อีกทั้งยังเป็นปัญหาส่วนตัวที่ไม่ได้เกิดคุณกับใครเลย เราถึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์อาจมที่เน่าเหม็นเช่นนี้

ณ เวลาของชีวิตที่เหลือน้อยลงทุกที ต้องมานั่งนึกทบทวนว่าเรายังทำอะไรไม่ถูกต้องอยู่อีก และกิจอะไรที่ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนตาย ถึงไม่ได้รู้แจ้งแทงตลอด แต่ก็รู้ว่าเราเกิดมาเพื่อกระทำภาระกิจบางอย่างทั้งต่อตนเองและผู้อื่น อะไรในตัวเราที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นได้บ้าง ต้องรีบขนขวายทำให้เสร็จ แม้มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยก็ต้องทำ

ต้นดีนกยูงนี้อาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช ท่านบอกว่าหายากมาก น่าภูมิใจที่เห็นมีขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าห้วยแถลง ลงรูปไว้ก่อน แล้วสรรพคุณจะตามมา
มีผู้สนใจแลกเปลี่ยนแต่หมดปัญญาจะติดต่อจริงๆค่ะ เข้าสมัครสมาชิกเวปที่ท่านให้ไว้ก็ไม่ได้ ตอบในบล๊อคของตัวเองก็ไม่ได้

โทรมาแล้วกันค่ะ 0857682897 ยินดีมากค่ะที่สนใจ

ปุณณภา  งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

เจตพังคี ไม้ต้นน้อยๆที่มีดีอยู่ในตัว

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา







เราถือว่าเจตพังคีเป็นสุดยอดสมุนไพรตัวหนึ่ง เพราะเค้าใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทารกเลยนะ ใครไม่เคยปวดท้อง ท้องอืดแน่นจุกเสียด จะไม่รู้ถึงความทรมานเลย มันแทบจะตายเลยนะ หายใจก็ไม่ได้ ขยับตัวก็ทรมาน นอนไม่ได้ นั่งไม่ได้ ทุรนทุราย นึกภาพคนแต่เก่าแต่ก่อน เอารากเจตพังคีมากวนหุงข้าว และต้มกิน บรรเทาอาการดังกล่าว ให้สุขภาพดีอยู่สุขสบายกันมา น่าภูมิใจจริง ๆนะ แต่เราไม่ยักเจอต้นสูง ๒ เมตรอย่างตำราว่า เห็นสูงแค่เข่าเอง รึไม่ก็เกินตาตุ่มมาหน่อย ขึ้นตามป่าโปร่ง ๆ โล่ง ๆ ข้างทางทั่วไป
ภูมิปัญญาอีสาน ใช้รากนำมาฝนกินกับน้ำ แก้แน่นท้อง เป็นดาน ลมในกระเพาะอาหาร ระบายไล่ลม

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cladogynos orientalis Zipp. ex Span.
วงศ์ EUPHORBIACEAE
ชื่อสามัญ -
ชื่อท้องถิ่น ตองตาพราน ตะเกีย เปล้าเงิน เปล้าน้ำเงิน สมี หนาดตะกั่ว ใบหลังขาว

ลักษณะทางพฤกษ์ศาสตร์
ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 2 ม. ลำต้นและใบมีขนรูปดาวสีขาวปกคลุมหนา ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรีแกมรูปไข่กลับดอกเป็นช่อกระจุก เกิดตามซอกใบ ช่อดอกแยกเพศ ไม่มีกลีบดอก ผลแห้งแล้วแตก

ประโยชน์และสรรพคุณยาไทย
ราก รสขมร้อนขื่น ขับลม แก้แน่นท้อง ทั้งต้นต้มน้ำกินแก้ลมจุกเสียด แก้ท้องร่วง
ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ
ยาประสะเจตพังคี

ส่วนประกอบ ดอกจันทน์ ลูกจันทน์ ลูกกระวาน ใบกระวาน การพลู กรุงเขมา รากไคร้เครือ การบูร ลูกสมอทะเล พญารากขาว เปลือกหว้า เกลือสินเธาว์ หนักสิ่งละ 1 ส่วน พริกไทยล่อน บอระเพ็ด หนักสิ่งละ 2 ส่วน ข่า หนัก 16 ส่วน ระย่อม หนัก 2 ส่วน เจตพังคี หนัก 34 ส่วน วิธีทำ บดเป็นผง สรรพคุณ แก้กษัยจุกเสียดขนาดรับประทาน รับประทานเช้าและเย็น ก่อนอาหาร ครั้งละ 1 ช้อนชา ละลายน้ำสุกขนาดบรรจุ 15 กรัม
แถมด้วยสรรพคุณอาการสมัยใหม่ ดูแล้วก็เข้าท่าดีเหมือนกัน
ยาประสะเจตพังคี เลขทะเบียนที่ G 236/50 ขนาดบรรจุ 100 แคปซูล แคปซูลละ 500 มิลลิกรัม
สรรพคุณ : อาการกรดไหลย้อน จุกเสียดเรื้อรัง มีลมเป็นก้อนบริเวณยอดอก ลิ้นปี่ ทำให้เจ็บระบมในช่องท้อง
วิธีใช้ : รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร
มีการพูดถึงเจตพังคีในพระไตรปิฎกด้วยแฮะ ไม่รู้ใช้ต้นเดียวกันรึเปล่า แต่รวบรวมไว้ เผื่อคนรุ่น
ต่อๆไปได้ศึกษาต่อยอด เราไม่เคยเห็นดอกมัน รึยังไงไม่แน่ใจ ความจำสั้น
ติกัณณิปุปผิยเถราปทานที่ ๘ (๑๘๘)
ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกเจตพังคี [๑๙๐] เราเป็นเทวดาแวดล้อมด้วยหมู่นางอัปสร ระลึกถึงบุพ- กรรมได้ จึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด. เรายังจิตของตนให้เลื่อมใส ถือดอกเจตพังคี ๓ ดอก ไป บูชาพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้ประเสริฐกว่านรชน. เพราะเราได้เอาดอกไม้บูชา ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ เรา จึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. ในกัปที่ ๗๓ แต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ ครั้ง เป็นผู้อุดม ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพละมาก. คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำได้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระติกัณณิปุปผิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล. จบติกัณณิปุปผิยเถราปทาน

เราเคยคุยกับหมอพื้นบ้านท่านหนึ่งที่ท่านบอกว่าเชี่ยวชาญรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยตำรัยาของท่านเอง เราก็ไม่กล้าซักไซ้มากมาย  เพราะมันเหมือนไปถามมรดกทรัพย์สมบัติของเขา  แต่พอทราบว่าตัวยาหลักที่ใช้รักษามะเร็งนั้นคือเจตพังคี  เผื่อใครทำตำรับมะเร็งเอาตัวนี้ไปเข้าตำรับด้วยก็ไม่เลว  เพราะโรคมะเร็งทำให้อวัยวะภายในเสียหน้าที่การทำงาน  ระบบย่อย  ระบบขับถ่าย  ระบบอะไรต่อมิอะไรแปรปรวนไปหมด  ถ้าลมในท้องดี  อย่างน้อยผู้ป่วยก็จะลดความทรมานลงไปได้เยอะ  ลองดูนะคะ
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง/ภาพ

พะงาด ความงดงามแห่งป่าชุมชน

โดย ปุณณภา  งานสำเร็จ
ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย  จังหวัดนครราชสีมา




ชี้ชัด ๆ ไม้เปลือกขี้เหร่ แต่ดอกสวยหอม สรรพคุณทางยามากคุณค่า นี่แหล่ะของจริง คนจริง  พะงาดล่ะ
ดูกันชัดๆเปลือกต้นพะงาด เห็นที่ไหนก็จำได้


ดอกสวยน่ารักลีลาไม่เป็นรองใครเลยนะ

ดอกสวยน่ารักมีเสน่ห์ เห็นแล้วมีความสุข ยิ่งถ่ายรูปยิ่งสวยมาก  ละลานตาไปทั้งชายป่า

ก็ดูเค้าซิ ไหม้ดำซะขนาดนี้ เป็นจุดสังเกตง่าย ต้อนรับแขกผู้มาเยือนตั้งแต่ชายป่าเลย
วันนี้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังทั้งวัน ไม่อยากมีวันพรุ่งนี้ ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีก คิดถึงแม่มาก เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้แล้วปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว ไม่อยากทำอะไรเลย เข้าไปดูประวัติพระอริยะเจ้าและเพลงส่งนางฟ้ากลับสวรรค์ เพลงรูปที่มีทุกบ้าน ต้นไม้ของพ่อ และอีกหลายๆ เพลง จนนึกได้ว่าทำไมเราถึงมาอยู่ตรงนี้
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ได้เดินป่าที่อำเภอห้วยแถลง เป็นป่าชุมชน จริงๆป่าแบบนี้เรียกหรูๆว่าเดินป่าก้อดูเหมือนจะพูดคำใหญ่ไปหน่อย เค้าเป็นป่าจริง ๆ แต่เดินง่ายเหมือนเดินเล่นตามคูคันนา ไม่ได้โลดโผนพิศดารอะไร แต่ได้สัมผัสกับชีวิตของผู้คน และซุปเปอร์มาร์เก็ตของชาวบ้าน
เจอไม้เจ้าเสน่ห์ต้นนี้อยู่ชายป่าแย่งกันออกดอกแบบไม่หวงเนื้อหวงตัว สนุกไอ้ส้มมันเก็บภาพ เราเจอเค้าบ่อยแต่ไม่เคยเจอตอนออกดอกเลยไม่รู้ว่าไม้ผิวเปลือกแสนขี้เหร่ต้นนี้ ดอกสวยหวานมีเสน่ห์สุด ๆ เค้าคือ พะงาด หรือ เหมือดแอ่ หรือพลองเหมือด ไม้ที่ลำต้นจำง่ายเพราะเหมือนพึ่งโดนไฟไหม้ แถมดอกกะจิริดเป็นสีน้ำเงินอีก เฮ้อ... ชีวิตพอมีบำเหน็จอยู่บ้างเหมือนกันนะ

ชื่อท้องถิ่น:พะงาด เหมือดแอ เหมือดจี้ พลองขี้นก เหมือดฟอง
ชื่อสามัญ:Mueat chi
ชื่อวิทยาศาสตร์:Memecylon scutellatum
ชื่อวงศ์:MELASTOMACEAE
ลักษณะวิสัย/ประเภท:ไม้ยืนต้น
ลักษณะพืช:
ต้น เป็นไม้พุ่มต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูงถึง 9 เมตร เปลือกลำต้นสีน้ำตาลดำ แตกขรุขระเป็นร่องยาวตามต้น
ใบใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบเรียบ ปลายใบแหลม ขอบใบขนาน สีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอกดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบ กลีบดอกสีม่วง
ผลผลเป็นผลเดี่ยว กลมแป้น ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีม่วง หนึ่งผลมี 1 เมล็ด
ปริมาณที่พบ:ปานกลาง
การขยายพันธุ์:ใช้เมล็ด
อธิบายวิธีการเพาะ/ขยายพันธุ์:เพาะเมล็ด
การใช้ประโยชน์/ส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์:ใบอ่อน ยอดอ่อน รับประทานเป็นผักสดกับอาหารจำพวกลาบ ยำผลสุก รับประทานเป็นผลไม้
รส ฝาด มัน ผลสุก รสหวาน
สรรพคุณ
ใบมีรสสุขุม(ขมเฝื่อนหอม) ปรุงยาทาแก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกไม่ทำให้เกิดแผลเป็น ดับพิษปวดแสบปวดร้อน
เนื้อไม้,รากมีรสสุขุม ฝนหรือต้มดื่มแก้ไข้ ถอนพิษผิดสำแดง ดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้หัดและดับพิษภายในต่าง ๆ
ตำรับรักษาอาการเมาเหล้า แก้พิษผิดสำแดง แก้เมาเบื่อ ของพ่อสมนึก อ.ปักธงชัย
รากเปล้าใหญ่ กับรากพะงาด ฝนน้ำซาวข้าวกิน
นอกจากนี้ชาวบ้านนิยมใช้กิ่งพะงาดทำค้างแตง อันนี้ไม่เห็นด้วยอย่างแรง ไม่คุ้มค่าเลย ใช้ไผ่ก็ได้นี่
คงพอนึกภาพออกว่าสมัยก่อนที่อีสานถูกกั้นด้วยดงพญาไฟ ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเมืองกรุงได้ง่าย ๆ เวลามีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ผู้คนรุ่นปู่ย่าตาทวด ท่านรักษาตัวและลูกหลาน จนสืบทอดเผ่าพันธุ์กันมาด้วยภูมิปัญญาที่มีอยู่รอบตัวในธรรมชาติเหล่านี้ ใครที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่เพียงเพราะสวมหัวโขนจอมปลอมที่สมมติกันขึ้นมาเฉย ๆ น่าจะมองดูผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง คือธรรมชาติ ที่อ่อนน้อม ถ่อมตัวและมีเมตตากับทุก ๆ ชีวิตเอาไว้ จะได้ไม่ตายไปกับความหลงอนธกาล
ปุณณภา งานสำเร็จ  เรื่อง
ธัญลักษณ์  แก้ววงษา ภาพ