วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ว่านเสน่ห์จันทร์ทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านเสน่ห์จันทร์ทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวว่า "ว่านเสน่ห์จันทร์ทอง ลักษณะลำต้นใบเหมือนหญ้าแห้วหมู ดอกมีเกษรละเอียดเหลืองอ่อน ก้านดอกยาว หัวเหมือนกระเทียมเล็กๆมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันจันทร์อ่อนๆสรรพคุณปลูกไว้ เสน่ห์มาหนิยม ค้าขายเจริญรุ่งเรือง"

ว่านเสน่ห์จันทร์เขียวรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านเสน่ห์จันทร์เขียวรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวว่า "ลักษณะเหมือนเสน่ห์จันทร์ขาวทุกอย่าง ผิดกันที่ตรงเสน่ห์จันทร์เขียวนั้น ใบและก้านเป็นสีเขียว สรรพคุณเช่นเดียวกับว่านเสน่ห์จันทร์ขาว"

ว่านเสน่ห์จันทร์แดงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านเสน่ห์จันทร์แดงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวว่า " ว่านเสน่ห์จันทร์แดง ลักษณะลำต้นเหมือนว่านเสน่ห์จันทร์ขาวทุกอย่าง ผิดกันที่ตรงเสน่ห์จันทร์แดงนั้นใบและก้านเป็นสีลูกหว้าอ่อน สรรพคุณเช่นเดียวกับว่านเสน่ห์จันทร์ขาว"
ไม่ยักรู้ว่าหารูปในเน็ทยากอย่างนี้  ว่านเสน่ห์จันทร์ทั้ง๓  คือจันทร์ขาว จันทร์แดง จันทร์เขียว จริงๆเป็นว่านหลักที่เล่นกันมานานมากๆแล้ว  มาช่วงหลังมีการตั้งชื่อจนออกมาเยอะแยะไปหมด  จันทร์แดงเป็นไม้ที่เลี้ยงง่ายแตกกอเก่งสวยมากๆถ้าปลูกเป็นกอใหญ่ ตามร้านค้าเราจะเห็นกระถางว่านเสน่ห์จันทร์แดงที่ปลูกไว้แตกกอใหญ่สวยงามมาก  ถ้าจะเล่นว่านทั้งทีเล่นว่านตามตำราโบราณกันเถอะ ไม้ตั้งชื่อใหม่จะมีประโยชนือะไร

ว่านเสน่ห์จันทร์ขาวรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านเสน่ห์จันทร์ขาวรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวว่า  " ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว  ลักษณะลำต้นคล้ายบอน ใบเหมือนใบโพธิ มีลายเส้นใบขาว ก้านขาวยาวแต่เล็กกว่าบอน กลิ่นหอมเหมือนน้ำมันจันทร์ สรรพคุณปลูกไว้กับบ้าน เป็นเสน่ห์มหานิยม"
ว่านเสน่ห์จันทร์ขาว เป็นไม้เลี้ยงยากตายง่าย ลักษณะดูง่าย  ราคาในท้องตลาดคงตัวไม่ถูกนักเพราะความเลี้ยงยากขยายพันธุ์ยาก เห็นว่ามีการเอาเสน่ห์จันทร์เขียวซึ่งบางต้นมีลักษณะคล้ายกัน ตอนต้นเล็กๆก้านมีสีขาวมาหลอกขายเป็นเสน่ห์จันทร์ขาว  ต้องระวัง

ว่านเสน่ห์จันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านเสน่ห์จันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า "ว่านเสน่ห์จันทร์  ใบเหมือนใบโพธิ ก้านคล้ายต้นอุตพิต หลังใบขาวเป็นนวล ยอดเหมือนต้นพลับพลึง เมื่อพบว่านนี้ก่อนที่จะขุด ท่านว่าจงจัดเครื่องสักการะบูชาดังกล่าวแล้วจำศีลภาวนาถือความสัตย์ ทำกระทง ๓ มุม ใส่หมากพลู ๓ คำ เบี้ย ๑ เบี้ย พลีกรรมเสียก่อน แล้วเสกด้วยพุทธคุณ "นะโมพุทธายะ" ๓-๗ ราดให้รอบต้น พรมตั้งแต่ยอดลงมาให้ทั่วแล้วจึงขุดเอาว่านนั้นมาแกะเป็นรูปเบี้ย เพื่อจะปลุกเสก ก่อนจะปลุกเสกเบี้ยนั้น จงทำน้ำมนต์เสกด้วย  "อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ" ๑๐๐๐ คาบ ชำระล้างตัวเสียก่อน แล้วจึงเอาเบี้ยนั้นใส่ลงไปในขัน เอาน้ำมันหอมใส่ให้ท่วมเบี้ยว่านนั้น เบี้ยว่านที่จะปลุกเสกนี้ต้องปลุกเสกในพระอุโบสถ มีบายศรีซ้ายขวา จงเสกด้วยพุทธคุณ "อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ" จนกว่าเบี้ยว่านนั้นเดินเวียนเป็นทักษิณาวัตรไปรอบๆปากขัน จะประเสริฐแล ถ้าจะให้เป็นเสน่ห์แก่หญิงและชาย ให้แกะเป็นรูปท่าท้าวพระยามหาอำมาตย์ กรมหลวงฝ่ายใน และรูปพระสงฆ์ใส่ลงในขันสัมฤทธิ์ แล้วเอาน้ำมันหอมใส่ลงเสกด้วย "อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ" ๑๐๐๐ คาบ นะโมพุทธายะ ๑๐๐๐ คาบ เสกไปจนกว่าน้ำมันนั้นเดินเวียนเป็นทักษิณาวัตรไปรอบขัน  ถ้าจะไปที่ใดๆเข้าหาท่านท้าวพระยาหรือเจ้านาย  จงเอาน้ำมันนั้นทาหน้าผากแล้วไปหา จะรักตัวเราเหมือนบุตร จะปรารถนาสิ่งใดก็สมความปรารถนา แม้แต่กลิ่นน้ำมันที่เราใช้ส่งกลิ่นไปถึงที่ไหน ก็มีความเมตตาเอ็นดูเราเกิดขึั้นด้วย ถ้าจะให้อยู่คงแคล้วคลาดจังงังให้เอารูปนั้นห่อผ้าโพกไว้บนศีรษะ เอาน้ำมันนั้นทาที่กระหม่อมและหน้าผาก แล้วบริกรรมด้วยพุทธคุณ "นะโมพุทธายะ" ๓-๗ คาบ  ใครจะทำอะไรเรามิได้เลย ย่อมแคล้วคลาดไปหมด"

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สมุนไพร/ต้นสังกรณี


สมุนไพร/มะไฟเดือนห้า


ว่านกระสือรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านกระสือรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า  " ว่านกระสือ ลักษณะลำต้นหัวใบคล้ายต้นขมิ้นอ้อย เนื้อในหัวสีขาว รสร้อนฉุน ต้น,ใบเขียว บางท่านก็ว่าใบนั้น ลายผ่านขาว เมื่อหัวแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน (เป็นแสงฟอสฟอรัส) เป็นพลายสีแมงคาเรืองในเวลากลางคืน สรรพคุณว่านนี้เป็นว่านอยู่คงกระพัน แต่เป็นว่านแปลกประหลาดกว่าว่านทั้งหลาย ชอบไปเที่ยวหาของโสโครกกิน และเข้าสิงกินในตัวคนดังเช่นกระสือและผีปอบ แะลสามารถบอกชื่อเจ้าของว่านเป็นตัวกระสือหรือผีปอบก็ได้ จึงไม่มีใครที่จะกล้าปลูกไว้"

ว่านแสนนางล้อมรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านแสนนางล้อมรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า  "ว่านแสนนางล้อม ลักษณะหัวและใบคล้ายหัวกระเทียม แต่ใบสั้นกว่า หัวล้อมกันเป็นกลุ่มๆมีดอกเป็นช่อทอดก้านยาว ดอกเล็กคล้ายดอกหญ้าหนวดแมว สรรพคุณปลูกไว้กันไฟ และกันอันตรายต่างๆ"

ว่านสมอรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสมอรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า  "ว่านสมอ ลักษณะลำต้นคล้ายกับต้นเตย ใบเหมือนใบละหุ่ง หอมเหมือนต้นเจตมูลเพลิง สรรพคุณ เอารากของว่านนี้กับปรอท ใส่ลงในขวดให้ได้๗ชั้น เอามาสุ่มไฟปรอทจะตาย"

ว่านครรถมาลารวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านครรถมาลารวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า " ว่านครรถมาลา ลักษณะลำต้น,ใบและหัวคล้ายต้นขมิ้นอ้อย เนื้อในหัวขาว รสร้อนฉุนจัด มีเป็นใยคล้ายใยบัว สรรพคุณอยู่คงกระพันชั่วเบา และใช้ตำพอกฝรครรถมาลา และฝีร้ายต่างๆ"

ว่านลิงดำรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านลิงดำรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า " ว่านลิงดำ ลักษณะต้นคล้ายต้นกระดาษแดง หัวเหมือนเผือก มีหน่อเหมือนบอน ก้านเหมือนบอน ชนิดนี้คัน สรรพคุณอยู่คงกระพันชั่วเบา"

ว่านสามพันตึงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสามพันตึงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า "ว่านสามพันตึง (มี ๓ ชนิด) ชนิดหนึ่งต้นเป็นเถา ใบคล้ายเถากลิ้งกลางดง มีหัวตามข้อๆเหมือนกลิ้งกลางดง สรรพคุณแก้โรคฝีกาฬ และฝีร้ายต่าง ๆ และระงับพิษร้อนของโรค โดยเอาว่านนี้ฝนกับว่านเพชรหึงที่ขึ้นอยู่กับต้นไม้ ลักษณะคล้ายกล้วยไม้"
หนังสือระบุว่ามีสามชนิดแต่อธิบายไว้เพียงชนิดเดียว

ว่านสะดุ้งรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสะดุ้งรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
"ว่านสะดุ้ง ลักษณะลำต้นก้านแดง คล้ายสีลูกหว้าอ่อน ใบเขียว ดอกสีแดง เมื่อเวลางอกขึ้นนั้น จะขวางพระอาทิตย์ เงานั้นจะเลื่อนติดต่อกันไป ถ้าจะขุดว่านนี้ท่านว่าให้จัดเครื่องสักการะบูชาเสียก่อน ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วเอาว่านนี้มาแกะ เป็นพระพุทธรูป มือซ้ายห้ามสมุทร มือขวากดท้อง  ลง "ติ"ไว้มือขวาลง "ละ" ไว้มือซ้าย  ลง"นะ" ไว้ปากขวา ลง"ตะ"ไว้ปากซ้าย ลง"ริ"ไว้หน้าผาก ลง"สิ"ไว้ท้อง ลง "เชื้อง" ไว้เท้าขวา ลง"ยะ"  (ข้อความหมดแค่นี้ น่าจะแปลว่าลง"ยะ"ไว้เท้าซ้าย-ผู้คัดลอก)
เมื่อจะเสกให้บ่ายหน้าไปทางพระยืน แล้วเสกด้วยมนต์นี้ "อะ ฆะ ชิ วะ มะ มะ จง นิง ทิง พิโน ปลา ยันติ " ให้ได้ ๑๐๘ คาบ  แล้วเอาว่านนี้ห่อผ้าโพกศีรษะให้แคล้วคลาดภยันตรายต่างๆ"

ว่านสากเหล็กรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสากเหล็กรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านสากเหล็ก ลักษณะลำต้นคล้ายกับสากตำข้าว ใบคล้ายหอมแดง สรรพคุณเอาว่านนี้มาฝนทามือ เราจะชกต่อยเขาสู้เราหาได้ไม่ ถ้ารับประทานมีกำลังมากดุจช้างสาร ด้วยอานุภาพของว่านนี้ ก่อนจะใช้ให้เสกด้วยพุทธคุณ "นะโม พุทธายะ"

ว่านแสงทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านแสงทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านแสงทอง ลักษณะลำต้น ก้านใบคล้ายขมิ้นอ้อย ก้านแดงใบเขียว หัวผ่าออกมีสีขาว ท่านว่าว่านนี้เป็นเสน่ห์มหานิยมยิ่งนัก แต่จะต้องเอาว่านนี้มาแกะเป็นรูปพระพินายลง "นะ" ไว้เบื้องบน   "กะ"ไว้ที่หน้าผาก  "ผะ"ไว้ที่จมูก  "มะ" ไว้ที่ปาก "ภะ"ไว้ที่คอ "ละ"ไว้ที่ท้อง ลงเลข"๖"ไว้ข้างบน  แล้วเอาเลข๗ลงรายล้อมให้รอบตัวพระพินาย แล้วพึงเสกด้วยมนต์นี้ "อม มหา กะ ถา ยะ นะ อะ สะ อะ คะ ภะ วะ ตะ เว ตะ กุส สะ มหา เตชา มหายโส มหายโส น ภา โว สหวา หะ " เสกให้ได้ ๑๐๐๐ คาบ "

ว่านแสงจันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านแสงจันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านแสงจันทร์ ลักษณะลำต้น,ใบ,หัวคล้ายต้นขมิ้นอ้อย กระดูกกลางใบแดง เนื้อในของหัวสีโศก สรรพคุณแก้พิษสุนัขบ้า พิษสัตว์ต่างๆ ที่ขบ,กัด,ต่อย โดยใช้ฝนกับสุราหรือน้ำให้รับประทาน แล้วเอาทาตามบริเวณปากแผล แต่อย่าให้ถูกปากแผล ถ้าถูกกัดใหม่ๆ ให้ใช้กากพอกปากแผล"

ว่านแสงอาทิตย์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านแสงอาทิตย์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
"ว่านแสงอาทิตย์ ลักษณะลำต้นเหมือนหมากผู้หมากเมีย ลำต้นแดง ยอดแดง เมื่อจะขุดเอาว่านนี้อย่าให้เงาของว่านนั้นทับเงาของตัวเรา ต้องชำระร่างกายให้สะอาด จำศีลภาวนาแล้วเสกด้วยพุทธคุณว่า "อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ" จะทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดย่อมสำเร็จสมประสงค์ ถ้าได้รับประทานก็สามารถจะเดินบนอากาศได้ ถ้าทาตาแล้วก็จะเห็นตลอดนรกสวรรค์ชั้นฟ้า จนถึงนาคพิภพ ว่านนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก ท่านตีค่าไว้ถึงแสนตำลึงทอง"

ว่านสบู่เลือดเถารวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่เลือดเถารวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านสบู่เลือดเถา (ตามตำราเก่าเรียกว่าว่านกระท่อมเลือด) ว่านนี้มี๒ชนิด  ชนิดหนึ่งอย่างแดงต้นเป็นเถา ใบคล้ายกับใบตำลึง แต่ลักษณะใบเป็นจักน้อยและจักของใบตื้นกว่า กระดูกเส้นของใบแดง หน้าใบหลังใบก็แดง แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ทำให้ใบนั้นสีแดงจางไป แต่ถ้าเมื่อเด็ดก้านใบหรือเถา จะมียางสีแดงเหมือนเลือดไหลออกมา หัวคล้ายมันแกว สรรพคุณใช้อยู่คงชั่วเบา อีกชนิดหนึ่งขาว ยางสีขาว หัวใหญ่โตมาก บางทีขนาดเท่ากระด้ง ว่านทั้งสองชนิดนี้ มีสรรพคุณเป็นยาต้มแก้กษัย แก้ระดูขัดข้องของหญิงซึ่งชาวป่านิยมใช้"

ว่านสบู่เลือดบอนรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่เลือดบอนรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่เลือดบอน ลักษณะลำต้น,ก้าน,ใบ มีสีแดง ถ้าหยิกหัวว่านจะมีสีแดงเหมือนเลือด ในเวลากลางคืนจะมีหยาดน้ำค้างอยู่ที่ปลายใบ อย่างชนิดนี้จึงจะเป็นสบู่เลือดบอนที่แท้ เมื่อรับประทานไปแล้วจะรู้สึกคันคอและเนื้อตัวชาไปหมด สรรพคุณ คงกระพันยิ่งนัก"

ว่านสบู่ทบรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่ทบรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่ทบ ลักษณะลำต้น,ใบ คล้ายต้นขมิ้นอ้อย หัวเหมือนหัวขิง เนื้อในหัวมีสีแดง ถ้าเอาเล็บหยิกดึงเอาเนื้อของหัวว่านออกมา จะเห็นว่ามียางออกเป็นสายใยออกมา ถ้าปล่อยออกยางของใยนี้จะดึงกลับเข้าที่เหมือนเดิม"

ว่านสบู่นางใยรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่นางใยรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่นางใย ลักษณะลำต้น,หัว,ใบ คล้ายใบกระเทียม แต่เปลือกที่หุ้มมีใยมากดังใยบัว สรรพคุณใช้อยู่คงชั่วเบา"

ว่านสบู่หนังแห้งรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่หนังแห้งรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่หนังแห้ง ลักษณะลำต้น,ใบ หัวคล้ายขมิ้นอ้อย กระดูกกลางใบแดง แต่ไม่ตลอดทั้งใบ เนื้อในของหัวเมื่อหักออกมา จะมีสีขาวอยู่รอบนอก รอบในกลางสีค่อนข้างเหลือง รสร้อนฉุน ขุดขึ้นมาไม่กี่วันเปลือกเหี่ยวคล้ายจะแห้ง สรรพคุณรับประทานกับสุรา คงกระพันยิ่งนัก"

ว่านสบู่นั่งแท่นรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่นั่งแท่นรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่นั่งแท่น ลักษณะลำต้นคล้ายขมิ้นอ้อย แต่หัวกลมใหญ่คล้ายกับหัวเผือก เนื้อในของหัวมีสีขาว รสร้อนฉุนจัด สรรคุณอยู่คงชั่วเบา"

ว่านสบู่เหล็กรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่เหล็กรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่เหล็ก ลักษณะลำต้นคล้ายขมิ้นอ้อย แต่หัวกลม เนื้อในของหัวมีสีขาว รสร้อนฉุนจัด สรรพคุณอยู่คงชั่วเบา (ท่านว่าเวลาปลูกให้ใช้เหล็กรองก้น จะทำให้คุณค่าของว่านมีคุณสมบัติมิเสื่อมลง)"

ว่านสบู่หมึกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่หมึกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่หมึก ลักษณะลำต้นเหมือนหัวหอมหัวใหญ่ (ขนาดหอมฝรั่ง) เปลือกหุ้มหัวมีสีแดงแกมดำ ทั้งโคนใบก็มีสีแดงแกมดำเช่นเดียวกัน  สรรพคุณเป็นว่านกันอันตรายและคุณไสยต่างๆ"

ว่านสบู่ทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่ทองรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านสบู่ทอง ลักษณะลำต้น,หัว,ใบ ดังต้นหอมแดง สรรพคุณอยู่คงชั่วเบา และใช้สมานแผล"

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ว่านสบู่หยวกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่หยวกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
"ว่านสบู่หยวก ลักษณะเหมือนหอมหัวใหญ่(ขนาดหอมฝรั่ง) ใบคล้ายใบพลับพลึง แต่เล็กกว่า เปลือกหุ้มสีขาว สรรพคุณอยู่คงชั่วเบา"

ว่านสบู่หลวงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านสบู่หลวงรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
"ว่านสบู่หลวง ลักษณะลำต้น ใบ หัวเหมือนกลอย เมื่อรับประทานแล้วจะเป็นผื่นตามผิวหนังทันที คันจัดมาก สรรพคุณ มีอิทธิฤทธิ์อยู่คงชั่วเวลาเบา"
อยู่คงชั่วเวลาเบาคือคงกระพันแค่ปัสสาวะออกก็หมดฤทธิ์

ว่านพระตะบะรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระตะบะรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระตะบะ ลักษณะลำต้น หัว ใบ เหมือนต้นขมิ้นอ้อย แต่หลังใบมีกาบคล้ายใบลิ้นเสือ เนื้อของหัวมีสีขาว รสร้อนฉุนจัด มีธาตุปรอท ว่านนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก ใช้ขับภูติผีปีศาจ ปีศาจเกรงกลัวยิ่งนัก แม้แต่ ใบ ราก หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของว่าน ผู้นำเอาว่านนี้ถึงจะซ่อนใส่ให้มิดชิดมิให้เห็นภูติผีปีศาจก็สะทกสะท้านสะดุ้งหวาดเกรงกลัว ผู้ที่มีว่านนี้ใช้ติดตัวไปได้ในทุกแห่งทุกหน บรรดาภูติผีปีศาจทั้งหายจะหาได้มากล้ำกรายหลอกหลอนเราได้เลย ตลอดจนผีป่า,ผีปอบ,ผีดง ทั้งผีพรายน้ำพรายบก,พรายอากาศ ถ้าถูกผีเข้าเจ้าสิง ให้ใช้ว่านนี้ถือเข้าไปที่ตัว ปีศาจก็จะล้มลง หญิงที่คลอดบุตรยาก ให้เอาว่านนี้ตำผสมกับสุรารับประทานสามารถทำให้มีลมเบ่ง และบุตรก็จะคลอดง่าย การคลอดบุตรมีต้องใช้ยันต์ตามโบราณที่กระทำมาก็ได้ ให้ใช้ว่านนี้ผูกหรือเอาวางไว้ที่ตามประตูหน้าต่างบ้าน ที่ห้องนอนของมารดา และที่กระโจมหรือเปลเด็ก กันได้ทุกอย่าง แม้แต่เด็กจะนอนสะดุ้งผวาให้ผูกข้อมือจะหลับสบาย ถ้านอนไม่หลับหวาดกลัวเห็นแต่ภูติผีปีศาจ ให้เอาว่านนี้ใส่ไว้ใต้หมอนผีปีศาจก็จะหายไป หรือมารดาของเด็กตายด้วยการคลอดบุตร วิญญาณของมารดาเด็กก็มิสามารถจะมารบกวนบุตรได้ หรือบุตรจะตายไป วิญญาณของบุตรก็มิสามารถจะมารบกวนมารดาได้เช่นกัน ผีปู่ ย่า ตา ยาย กลัวว่านนี้เหมือนกัน  แต่ว่าไม่ออกทันที เมื่อเห็นว่านนี้ก็บอกว่ามาทำไม ธุระอะไรแล้วก็ไป ถ้าท้องเดินอย่างแรงคล้ายอหิวาต์ ให้ใช้ว่านนี้มาตำผสมกับน้ำสุก รับประทานก็จะหาย ว่านชนิดนี้เป็นว่านที่หาได้ยาก ท่านผู้ใดได้ไว้นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐนัก ว่านพระตะบะนี้เป็นว่านที่คู่กับว่านขอทอง  เพราะเป็นว่านอันประเสริฐด้วยกัน และขึ้นอยู่ในแถบเดียวกันกับว่านขอทอง ว่านทั้งสองนี้มีแถวกระเหรี่ยง ละว้า ทางไทรโยค"

ว่านพระยามือลายรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยามือลายรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล้าวไว้ว่า
"ว่านพระยามือลาย ลักษณะลำต้น ก้าน ใบ ใบเหมือนว่านพระยาช้างเผือกทุกอย่าง ผิดแต่ว่าลำต้น ก้านใบ ใบ เขียวเท่านั้น และมีลายจุดขาวเล็กๆเต็มหน้าท้องใบ (บางคนเรียกว่าช้างกระ เอามาปลูกไว้เป็นต้นไม้ดูเล่นเพื่อความสวยงาม) สรรพคุณของว่านรับประทานแล้วอยู่คงกระพันแต่ว่าคันมาก"
เป็นไปได้ไม๊ว่า ว่านพระยาช้างเผือกที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันแท้จริงแล้วเป็นว่านพระยามือลาย

ว่านพระฉิมรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระฉิมรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘  กล่าวว่า
"ว่านพระฉิม ลักษณะลำต้นเป็นเถา ใบเหมือนมันมือเสือ มีหัวตามข้อของเถา หัวเป็นปุ่มขรุขระเหมือนหัวกลิ้งกลางดง สรรพคุณ ปลูกไว้เป็นศิริมงคลแก่บ้าน และรับประทานอยู่คงกระพัน"
ว่านพระฉิม

ว่านพระเจ้า๕พระองค์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระเจ้า๕พระองค์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระเจ้า๕พระองค์ ลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อย เถาสีเลือดหมู ใบเขียว ใบเป็น ๕ แฉก สรรพคุณ ปลูกไว้เป็นศิริมงคลแก่บ้านและรับประทานอยู่คงกระพัน"

ว่านพระมเหศวรรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระมเหศวรรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระมเหศวร ลักษณะลำต้นและใบเขียวคล้ายพุทธรักษา ตอนกลางใบดุจมีน้ำค้าง  สรรพคุณใช้ในทางแก้ภูติผีปีศาจที่เข้ามาสิงสู่ในตัว"

ว่านพระยาช้างเผือกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาช้างเผือกรวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาช้างเผือก ลักษณะลำต้นขาว ใบขาวตามใบมีลายเส้นขาวๆ เมื่อใบยังเล็กอยู่จะมีจุดขาวใหญ่อยู่ตามหน้าใบ ส่วนใบก็คล้ายกับใบกล้วย แต่ว่าเล็กกว่า มีดอกสีขาวคล้ายดอกเสน่ห์จันทร์ขาว สรรพคุณปลูกไว้เป็นศิริมงคล"
ต้นนี้เป็นตระกูลสาวน้อยประแป้ง  นักเล่นว่านเก่าๆบอกว่าต้นจริงหายากมาก  เพราะลำต้นต้องเป็นสีขาว แต่ที่ปลูกเลี้ยงกันอยู่ทั่วไปลำต้นจะเป็นสีเขียว  จนเดี๋ยวนี้คำบรรยายสีลำต้นก็เปลี่ยนเป็นลำต้นสีเขียวแทน  ใครมีลำต้นสีขาวเอามาทานให้คนเขียนบล๊อกบ้างจะเป็นพระคุณอย่างสูง

ว่านพระจันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระจันทร์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระจันทร์  ลักษณะลำต้นใบดุจขมิ้นเมื่อแรกขึ้น ครั้นนานไปเข้าใบนั้นจะมีสีแดง แล้วจะกลับเป็นสีเขียวภายหลัง หัวเมื่อผ่าออกจะมีสีชมพู ในเดือนอ้ายจึงจะมีดอกๆนั้นคล้ายบอนขม ท่านว่าถ้าจะขุดว่านนี้ให้นุ่งห่มเหลือง ถือศีล ๕-๘ แล้วบูชาเทพยดาอารักษ์ด้วยเครื่องกระยาบวช แล้วบูชาด้วยพระเวทมนต์ดังนี้ "อุมะนะ จันทระโตระ ตะธาตุ รุคะกะตะตัสสะ พะวะไกยะ ประสิทธิเม" แล้วจึงขุดเอาว่านนี้มาแกะเป็นรูปพระฉิมพาลีนั่งขัดสมาธิ มือขวารับประเคน ส่วนมือซ้ายกอดท้อง แล้วลงอักขระ "กะ สะ กะ สะ" เมื่อลงแล้วว่าพระคาถา ๑๐๘ คาบ ดังนี้ "โอมยะโยโมสิมพะวา สันติเก สัพเพ เทวา ปุริโสวา อิจ ถีวา กะรุยะ สัพเพ นัยยะ หา พุทธะ ทัยยะ ปลันติ สหะ วาหา ยะ ปะ อิส วา หา ยะ " เสกให้ได้ ๑๐๐๐ คาบสรรพคุณเอาว่านที่แกะนี้ใส่ในผ้าแล้วโพกศีรษะ จะไปทุกสารทิศ ศัตรูหาทำอันตรายเราได้ไม่ และยังเป็นเสน่ห์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง"

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หนังสือน่าอ่าน ปรอทธาตุมหัศจรรย์

วันนี้ไปส่งต้นไม้ที่ไปรษณีย์  อดแวะร้านหนังสือไม่ได้  ว่าจะดูเฉยๆ แต่ไม่เคยสำเร็จ  ได้มาสามเล่ม
เล่มแรกกำลังอ่าน  ชอบมาก  "ปรอท ธาตุมหัศจรรย์"  เนื้อหาพูดถึงมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย พยายามที่จะ
เอาชนะเจ้าธาตุอัศจรรย์นี้ ผู้ใดที่สามารถ ควบคุมธาตุปรอทได้สำเร็จชีวิตของผู้นั้น จะ เป็นอมตะ รวบรวมแง่มุมต่างๆ ของธาตุปรอทที่อยู่นอกกรอบของกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาเปิดเผย และยังได้อธิบายถึงวิชาปรอทโบราณ การสำเร็จปรอทในยุคต่างๆ รวมไปถึงการรักษาโรคด้วยการลงปรอทอันเป็นที่สุดของวิชา  ไม่ยักรู้มาก่อนว่าเรื่องปรอทอย่างเดียวจะข้อมูลเยอะขนาดนี้

ถ้าใครอ่านหนังสือว่าน สรรพคุณที่ได้พบอยู่เสมอคือ  ว่านตัวนั้นตัวนี้ฆ่าปรอทได้ เรายังนึกสงสัยว่าฆ่าเพื่ออะไร  ทำไมต้องฆ่า ดูจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษด้วย  ว่านหลายตัวพูดถึงคุณวิเศษเรื่องฆ่าปรอทอย่างเดียว เก็บความสงสัยมานานว่า ปรอทนี่สำคัญยังไงนะ  ว่านหลายๆตัวที่มีการพูดถึงว่าเป็นว่านสาย อ. หล่อ ขันแก้ว  ที่แท้หนังสือเล่มนี้เฉลยให้รู้ว่า ที่แท้แล้วอ.หล่อ  ขันแก้ว  เป็นผู้สำเร็จวิชาปรอทที่สำคัญผู้หนึ่ง  การหุงปรอทของอ.หล่อ  ขันแก้ว  แต่ละครั้งใช้เวลา ๓-๗ ปี  นั่นหมายถึงห้ามไฟดับเลยนะ  ต้องดูอยู่ตลอดเวลา เพราะอย่างนี้ว่านสายอ.หล่อ  ขันแก้ว  จึงเป็นอีกหนึ่งชื่อที่การันตีว่านนั้นๆได้เป็นอย่างดี

เล่มที่๒ เดอะเมจิก เป็นหนังสือของ Rhonda Byrne (รอนดา เบิร์น) ผู้เขียนเดอะซีเคร็ทอันลือลั่น  ชื่อชั้นระดับนี้  อ่านแค่คำนิยมก็ซื้อเลย  ประสบการณ์ที่มากขึ้นในการใช้กฏแรงดึงดูด ของรอนด้า  เบิร์น  เป็นเรื่องที่น่าติดตาม  ที่สำคัญราคา ๑๙๕ บาท ถือว่าถูกมากสำหรับหนังสือคุณภาพ
เล่มที่๓ จริงๆออกมาได้ซักพักแล้ว

เล่มที่๓  เล่มเดียวคุ้มโรคภัย  เล่มนี้ออกมาได้พักใหญ่แล้ว  แต่ใจเย็นอยู่  เพราะคุณจำรัส  เซ็นนิล เขียนเล่มไหนไม่ต้องห่วงขายดีแน่  ยังไงก็จะเด่นอยู่ในแผงนาน  แต่ใจเย็นมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวหมด  ชอบหนังสือของคุณจำรัส  ตรงที่เป็นข้อมูลการใช้สมุนไพรจากคนจริง ๆ สูตรส่วนใหญ่ไม่ยากจับต้องได้  สะสมเป็นฐานความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านได้ดี

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ว่านพระอาทิตย์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระอาทิตย์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
" ว่านพระอาทิตย์ ลักษณะใบเขียว มี ๓ ใบดุจใบระกำที่พึ่งแย้มออก ก้านใบนั้นมีสีแดงดังปากนกแขกเต้า หัวกลม เมื่อผ่าออกมีสีเขียวดังคราม กลางนั้นขาว ริมขอบดำ ท่านว่าเมื่อจะขุดเอาว่านนี้ต้องดูฤกษ์ดียามดีเสียก่อนให้ชำระร่างกายนุ่งห่มให้สะอาด เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นจงลงมือขุดเอาว่านนี้ แล้วเอาไปบูชากราบไหว้ขอความศิริมงคล แต่ว่านนี้จงแกะเป็นรูปพระนารายณ์๔กร แล้วเสกด้วยมนต์คาถานี้ "อมมหาวินากัสสะรัตสะปูชิโตสวาหะ" ให้ได้๑๐๐๐คาบ สรรพคุณเอาว่านนี้ใส่ในผ้าแล้วโพกศีรษะ จะไปทุกสารทิศใดย่อมมีชัยชนะศัตรูเสมอ"
พึ่งรู้ว่านกแขกเต้าหน้าตาเป็นอย่างนี้ เหมือนนกแก้วเลย

ว่านพระนารายณ์รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระนารายณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระนารายณ์ ลักษณะลำต้นขึ้นตรง ก้านใบเขียวขอบใบแดง มีดอกในเดือน ๑๐ ข้างขึ้นเพ็ญดอกนั้นแดงดุจดอกหงอนไก่ หัวนั้นเมื่อผ่าออกมีสีขาว ท่านว่าเมื่อขุดว่านนี้ให้จัดทำเครื่องสักการะบูชาเสียก่อน ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น  แล้วเอาว่านนี้มาบูชา จนถึงวันเดือนดับให้เอาว่านนี้มาแกะเป็นรูปพระนารายณ์๔กร มือขวาถือดอกบัว มือขวาล่างถือสังข์ มือซ้ายบนถือจักร มือซ้ายล่างถือตรี แล้วเสกมนต์นี้ "โอมนะรายยะ เทวสังสิ ฤทธิเดชะ ชัยยังกะโร โหติริทิริทิริริติ นะตะวาจะมะหา มันตะละมุวาสสวาอิเม " เสกมนต์นี้ให้ได้ ๑๐๐๐ คาบ แล้วใส่ตลับนพคุณไว้ ใส่ในผ้าโพกศีรษะไปแห่งหนใด เทวดาจะคุ้มครองรักษา ศัตรูจะทำอันตรายเรามิได้ เป็นเสน่ห์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง"

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ว่านพระยานกตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยานกตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยานก ชนิดหนึ่งลักษณะดุจดังต้นตาล ใบคล้ายใบมะตาด สรรพคุณเอายางกับเปลือกมาต้มกินแก้โรคกษัยดีนัก บางตำราว่าอีกชนิดหนึ่งลักษณะลำต้นคล้ายกับต้นไม้ท้าวยายม่อม ใบเหมือนใบคนทีสอ ดอกเหมือนดอกซิลชี้ หัวเหมือนเกล็ดของปลากระเพียน สรรพคุณท่านว่าให้รักษาว่านนี้ให้ดี จะนึกหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็จะได้สมดังความปรารถนา"

เอาละสิ อะไรมันจะเยอะขนาดนี้ ลำพังต้นท้าวยายม่อมหรือไม้ท้าวยายม่อมก็มีสองชนิดที่เรียกเหมือนกัน เป็นสมุนไพรทั้งคู่แต่ใช้ต่างกัน  เอาเป็นว่าลอกมาทั้งดุ้นให้ได้อ่านพิจารณาเอาเอง ว่าต้นของว่าพระยานกจะเหมือนกับไม้ท้าวยายม่อมต้นไหน
เมื่อ "ไม้เท้ายายม่อม" ถูกเรียกชื่อว่า "เท้ายายม่อม" ในตำรับยาแผนไทย!!!

ในตำรายาสมุนไพรตามตำรับแผนโบราณมีระบุชื่อสมุนไพรที่มี คำว่า "เท้ายายม่อม" หรือ "ท้าวยายม่อม" อยู่ 2 ชื่อ ด้วยกัน ได้แก่ "เท้ายายม่อม" กับ "ไม้เท้ายายม่อม" ทำให้คนอ่านที่ไม่ได้เป็นแพทย์แผนโบราณต้องงุนงง สงสัยว่า ตัวยาทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันหรือไม่ แต่เมื่อไปค้นหาความจริงในตำราเล่มต่างๆ เข้า ก็กลับยิ่งสับสนหนักขึ้นไปอีก เพราะเหตุที่ว่า ตำราบางเล่มระบุว่า ต้นเท้ายายม่อม กับ ต้นไม้เท้ายายม่อม เป็นต้นไม้ต่างชนิดกัน แต่ตำราอีกบางเล่มกลับระบุว่าเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันแต่เรียกชื่อต่างกันเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะเลือกเชื่อใคร? ใน "เทคโนโลยีชาวบ้าน" ฉบับนี้ เราจะลองสำรวจข้อมูลเรื่องของพืชที่มีชื่อลงท้ายว่า "เท้ายายม่อม" กันดู ตอนท้ายๆ หากข้อมูลที่ค้นมาได้มีความชัดเจนเพียงพอ ผู้เขียนก็อาจจะลอง "ฟันธง" เป็นข้อสรุปลงไป แต่หากว่า ข้อมูลที่ได้ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ก็คงต้องฝากท่านผู้อ่านลองกลับไป "ทำการบ้าน" ค้นหาข้อมูลต่อ วันหน้าค่อยตัดสินกันใหม่...

อันดับแรก ผู้เขียนจะขอค้นข้อมูลจากตำราเล่มต่างๆ แล้วนำมาเรียงไว้เสียก่อน ดังนี้

1. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ระบุว่า "เท้ายายม่อม" กับ "ไม้เท้ายายม่อม" เป็นคนละชนิดกัน ดังข้อความที่ว่า "เท้ายายม่อม น.ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Tacca Ieontopetaloides (L.) Kuntze ในวงศ์ Taccaceae หัวหรือเหง้ามีสัณฐานกลมแบน ใช้ทำแป้งเป็นอาหารได้ เรียกว่า แป้งเท้ายายม่อม" อีกคำหนึ่งว่า "ไม้เท้ายายม่อม น.ชื่อไม้พุ่มชนิด Clerodendrum petasites S.Moore ในวงศ์ Labitae ดอกสีขาว ใบใช้สูบแทนกัญชา ราก ใช้ทำยาได้, พญารากเดียว ก็เรียก."

2. พจนานุกรมฉบับมติชน ปี 2547 อธิบายเฉพาะชื่อ "เท้ายายม่อม" ว่า "เท้ายายม่อม น.ไม้ล้มลุกมีหัวในดิน สูงราว 1.5 เมตร รูปฝ่ามือแยกเป็น 3 แฉก ขอบเว้าลึก ดอกเป็นช่อซี่ร่ม ออกที่ปลายยอด รากใช้ทำยาได้, ไม้พุ่มขนาดเล็ก ต้นตั้งตรง ปลายกิ่งเป็นสันสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว เรียงรอบข้อ รูปรีแกมขอบขนาน ดอกเป็นช่อ แยกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว ผลกลมสีเขียว สุกสีดำ มีกลีบเลี้ยงสีแดงติดอยู่ รากใช้ทำยาได้."

สรุปได้ว่า มติชนเรียกแต่เพียง "เท้ายายม่อม" แต่อธิบายว่า มี 2 ชนิด ชนิดแรก เป็นไม้ล้มลุก มีหัว และรากใช้ทำยาได้, ส่วนชนิดที่สอง เป็นไม้พุ่ม ดอกสีขาว และรากใช้ทำยาได้เช่นกัน

3. พจนานุกรมสมุนไพรไทย ของ ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม อธิบายข้อมูลของสมุนไพร "ท้าวยายม่อม" (เท้ายายม่อม) ว่า มีชื่อสามัญว่า "One Root Plant", ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clerodendrun indicun จัดอยู่ในวงศ์ VERBENACEAE (The Verbena Family) ที่น่าสนใจ ก็คือ ชื่อเรียกอื่นๆ ที่ใช้เรียกต้นไม้ชนิดนี้ ได้แก่ จรดพระธรณี, พญารากเดียว, พญาลิงจ้อน, ไม้เท้าฤๅษี, หญ้าเลงจ้อน, ปู่เจ้าปทุมราชา, ไม้ท้าวยายม่อม, ดอกไม้มอญ (ภาคกลาง), ว่านพญาหอกหล่อ (สระบุรี) เป็นไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นสูงประมาณ 3-5 ฟุต ดอกขนาดเล็กสีขาว มีการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง หรือวิธีการปักชำกิ่ง

จากคำอธิบายที่เป็นบริบททำให้เข้าใจว่า ท่านมุ่งจะพูดถึงไม้พุ่ม (แต่ท่านก็บอกว่ามีหัวในดิน ใช้ทำแป้งได้ และรากสดใช้ต้มกินน้ำแก้พิษ แก้ไข้ และขับเสมหะ)

4. หนังสือ "เภสัชกรรมไทย รวมสมุนไพร" โดย อาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2-2540 บรรยายสรรพคุณทางยาไว้ 3 ชื่อ คือ 1. เท้ายายหม่อมดอกขาว (หรือปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด) 2. เท้ายายหม่อมดอกแดง (หรือปทุมราชา) และ 3. เท้ายายหม่อมหัว (หรือว่านพญาหอกล่อ) ไม่มีชื่อเรียกว่า "ไม้เท้ายายหม่อม" และกล่าวว่า ชนิดดอกขาวนั้น เป็นพืชจำพวกต้น ใช้รากและต้นแก้ไข้ ขับพิษ และขับเสมหะ, ส่วนชนิดดอกแดง ก็เป็นพืชจำพวกต้น ใช้เฉพาะราก แก้ไข้เหนือ ไข้พิษ ไข้กาฬ ถอนพิษ (แม้กระทั่งตำหรือฝนกับเหล้า กินและเอากากพอกแผล แก้พิษงู) ส่วนชนิดหัวนั้นใช้แป้งเป็นอาหารบำรุงร่างกายสำหรับคนฟื้นไข้ โดยละลายแป้งในน้ำ กวนจนสุก เติมด้วยน้ำตาลกรวด ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ (คนทั่วไปเคยได้ยินและรู้จักเฉพาะเท้ายายม่อมชนิดหัวนี้เท่านั้น)

สรุปแล้ว ชนิดดอกแดง และชนิดดอกขาว ก็น่าจะตรงกับ "ไม้เท้ายายม่อม" นั่นเอง

ในบัญชีรายชื่อสมุนไพร ของ "ธรรมเวช ร้านขายยาไทยโบราณ" มีตัวยา "เท้ายาหม่อม" 2 ชนิด ไว้ขาย คือ 1. เท้ายายหม่อมดอกขาว หรือปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด (ราก) และ 2. เท้ายายหม่อมดอกแดง หรือปทุมราชา หรือข่อยดำ (ราก) โดยขายปลีก 500 กรัมละ 40 บาท เท่ากันทั้ง 2 ชนิด (ราคาเมื่อปี พ.ศ. 2538) ไม่มีรายชื่อ "ไม้เท้ายายม่อม" เสนอขายแต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลที่ตำราเล่มต่างๆ บอกเรา ซึ่งพอจะ "ฟันธง" ไปได้ว่า ต้นไม้ 2 ชื่อ คือ "เท้ายายม่อม" กับ "ไม้เท้ายายม่อม" เป็นไม้ต่างชนิดและต่างวงศ์กัน โดยที่ "เท้ายายม่อม" เป็นไม้หัว (แป้งเท้ายายม่อม) ส่วน "ไม้เท้ายายม่อม" เป็นไม้พุ่ม มีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดดอกสีขาว (เรียก "ปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด") และชนิดดอกสีแดง (เรียก "ปู่เจ้าปทุมราชา") ซึ่งไม้ชนิดพุ่มนี้เป็นไม้ที่มีสรรพคุณทางยา

ต่อไปเราจะลองไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับตำรับยาที่เข้าด้วย "เท้ายายม่อม" กับ "ไม้เท้ายายม่อม" ในตำราแพทย์แผนโบราณกัน จะได้ทราบว่า มีตำรับยาขนานใดบ้าง ใช้แก้โรคใด โดยเราจะค้นจากตำราที่ใช้อ้างอิงกันมาแต่ดั้งเดิม คือ ตำรา "แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์" นั่นเอง

ใน "พระคัมภีร์ฉันทศาสตร์" พบรากเท้ายายม่อมในยาแก้ไข้ประดง 4 ประการ, ใน "พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์" พบรากเท้ายายม่อม, ต้นเท้ายายม่อม, ใบเท้ายายม่อม และรากเท้ายายม่อมในตำรับยา 4 ตำรับด้วยกัน, ใน "พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์" มีรากเท้ายายม่อมเข้าในตำรับยา ชื่อ "มหาชุมนุมใหญ่ สันนิบาต", ส่วนใน "พระคัมภีร์โรคนิทาน" พบรากเท้ายายม่อมรวมอยู่ในตำรับยาชื่อ "มหาชุมนุม" ซึ่งนอกจากรากเท้ายายม่อมแล้ว ก็ยังมีดอกปทุมราชา (ไม้เท้ายายม่อมดอกแดง) รวมอยู่ในตัวยาอย่างอื่นด้วย, ใน "พระคัมภีร์ธาตุวิวรณ์" มีเท้ายายม่อมในตำรับยาชื่อ "ปะโตลาธิวาตะ" แก้ไข้ ซึ่งระบุชื่อเพียง "เท้ายายม่อม" (ไม่ระบุว่าเป็นรากหรือใบ) ในยาแก้เสลดกำเดาขนานนี้ และอีกตำรับหนึ่งเป็นยา ชื่อว่า "ยาแก้กษัยเลือด" (มีอาการเจ็บในท้อง เมื่อแก่เข้าจะมีหน้าซีดเผือด ตาเหลือง ซูบผอม) ให้เอารากเท้ายายม่อมร่วมกับตัวยาอื่นอีก 36 อย่าง เสมอภาค ตำเป็นผง ละลายน้ำผึ้งรับประทาน

ใน "พระคัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา" พบตัวยารากไม้เท้ายายม่อม กับรากมะดูก, รากมะตูม, ยาข้าวเย็น และแห้วหมู ดองสุรา แล้วนำไปฝังในข้าวเปลือก 3 วัน เสกด้วยสัพพาสี เอามูลโคสด และขมิ้นอ้อยบด นำมาพอกหัวเหน่า 5 วัน หายแลฯ นอกจากนี้ ในพระคัมภีร์เล่มนี้ยังระบุไว้ด้วยว่า "อันไม้เท้ายายม่อมดอกแดง เรียกชื่อว่า ประทุมราชา ส่วนตัวเมียนั้น ใบรี ต้นสูง เรียกปู่เจ้าหายใจมิรู้ขาด" สำหรับปู่เจ้าหายใจมิรู้ขาดนั้น พบในตำรับยา ชื่อ "สิงคาทิจร" ต้มหรือดองสุรา รับประทานแก้โรค (ครอบโรค) 32 จำพวกแลฯ นอกจากนี้ ใบประทุมราชายังนำเอามาสกัดผสมกับน้ำมันหุง รับประทานแก้โรคลำไส้เปื่อยอีกด้วย

พระคัมภีร์สุดท้ายที่บันทึกสรรพคุณของ "ไม้เท้ายายม่อม" เอาไว้ ก็ได้แก่ "พระคัมภีร์สรรพคุณ (แลมหาพิกัด)" โดยไม่ได้กล่าวถึง "เท้ายายม่อม" ดังนี้

1. ไม้เท้ายายม่อม นั้น แก้พิษเสมหะ แล แก้สรรพพิษทั้งปวง

2. ไม้เท้ายายม่อม แล รากมะกล่ำตาช้างแดง ตาขาว แก้ร้อน แก้กระหาย แก้อาเจียน แก้หืด แก้ไอ แก้พิษฝี

3. ให้เอารากไม้เท้ายายม่อม, ผลจันทน์, ดอกจันทน์, กานพลู, ผลเบญกานี, ดองดึง, หัสคุณเทศ, รากเจตมูลเพลิง, รากแคแตร โดยเอาเสมอภาค ทำผงละลายน้ำขิง กินแก้โรคริดสีดวง 12 จำพวก

4. ให้เอารากไม้เท้ายายม่อม, เปลือกคนทา, รากมะตูม, รากชุมเห็ด, รากกรรณิการ์ เสมอภาค และผลจันทน์เท่ายาทั้งหลาย (หมายความว่า เท่าน้ำหนักของยาอื่นรวมกัน) บดทำผง ละลายน้ำผึ้ง, น้ำขิง หรือน้ำดอกไม้ กินแก้วาโย (ลม) กำเริบ (มีอาการปวดมวนในท้อง เสมหะเป็นมูกเลือด) หายแลฯ

ที่ยกมาทั้งสิ้นนี้ เป็นการยกเอามาโดยย่อ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองภาพออกว่า มีคัมภีร์ใดพูดถึงส่วนใดของเท้ายายม่อม หรือของไม้เท้ายายม่อมบ้าง หากท่านสนใจในรายละเอียดของตัวยาในแต่ละตำรับ กรุณาไปค้นเพิ่มเติมได้ ในหนังสือ "แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์" ที่กระทรวงศึกษาธิการจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะพบในห้องสมุดใหญ่ๆ ทั่วประเทศ หรือซื้อไปศึกษาในราคาเล่มละ 1,200 บาทเศษ (จำราคาที่แน่นอนไม่ได้)

ผู้เขียนได้ลองเปิดหนังสือตำรายาโบราณ ชื่อ "ยาแก้ไข้ 108 ขนาน" รวบรวมโดย อาจารย์เชาวน์ กสิพันธุ์ บภ., บว. ซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายวิชาการ ของสมาคมแพทย์เภสัชกรรมไทยโบราณ พบว่า ในบรรดายาแก้ไข้ 108 ขนานนั้น มีอยู่จำนวน 15 ขนาน ที่มีเท้ายายม่อม หรือรากเท้ายายม่อมหรือใบเท้ายายม่อม ร่วมเป็นสมุนไพรอยู่ในตำรับยา ได้แก่ 1. ยาแก้ไข้เหนือ 1 (เท้ายายม่อม), 2. ยาต้นไข้ (รากเท้ายายม่อม), 3. ยาแก้ไข้ (ขนานที่ 19-รากเท้ายายม่อม), 4. ยาแก้ไข้ (ขนานที่ 20-รากเท้ายายม่อม), 5. ยาต้มแก้ไข้ทั้งปวง (รากเท้ายายม่อม), 6. ยาแก้เชื่อมมัว (รากเท้ายายม่อม), 7. ยาเขียวใหญ่ (ใบเท้ายายม่อม), 8. ยาเขียวมหาคงคา (ใบเท้ายายม่อม), 9. ยาแก้ไข้สันนิบาต ไข้เหนือ (รากเท้ายายม่อม), 10. ยาแก้ไข้เชื่อมซึม (เท้ายายม่อม), 11. ยาเขียวใหญ่ (ใบเท้ายายม่อม), 12. ยาประสะแสงทอง (รากเท้ายายม่อม), 13. ยาแก้ไข้ (ขนานที่ 101-รากเท้ายายม่อม), 14. ยาแก้ไข้ (ขนานที่ 102-รากเท้ายายม่อม) และ 15. ยาพ่นถอนพิษไข้ (รากเท้ายายม่อม)

ขอยกมาพอเป็นตัวอย่างคือ ยาแก้ไข้เชื่อมซึม (10.) ท่านให้เอา รากมะแว้งเครือ รากย่านาง หัวคล้า แฝกหอม ชิงชี่ เท้ายายม่อม ผักโขมหิน หญ้าแพรก ก้านหมาก รากตาน รากตานเสี้ยน ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ สันพร้านางแอ เอาสิ่งละ 1 บาท ใส่หม้อต้ม รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยชา เช้า กลางวัน เย็น ก่อนอาหาร แก้ไข้เชื่อมซึมดีนักแล

ข้อที่น่าสังเกตคือ ในตำราเล่มนี้ ไม่มีตำรับสมุนไพรที่เข้าด้วย "ไม้เท้ายายม่อม" เลย เหตุใดหนอ ไม้เท้ายายม่อมซึ่งตำราระบุว่า มีสรรพคุณต่างๆ มากมาย จึงไม่ได้เข้าเป็นตัวยาในตำรับยาแก้ไข้ แต่กลับมีแต่เท้ายายม่อม รากเท้ายายม่อม และใบเท้ายายม่อม (ซึ่งในตำราระบุไว้แต่เพียงประโยชน์จากแป้งที่ได้มาจากรากหรือหัว ว่า ใช้เป็นอาหารสำหรับบำรุงผู้ฟื้นไข้เท่านั้น) มาร่วมอยู่ในตำรับยาแก้ไข้ นับว่าเป็นปัญหาที่น่าค้นหาคำตอบเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อผู้เขียนนำเอาตำรับยาแก้ไข้ที่ระบุชื่อไว้ข้างต้นไปสอบถามจากร้านขายยาสมุนไพรแผนโบราณว่า ที่ตำรับยาแก้ไขระบุชื่อเท้ายายม่อม รากเท้ายายม่อม และใบเท้ายายม่อม นั้น หากมีผู้มาซื้อเครื่องยาที่ร้าน ทางร้านจะจัดใบ, ราก, เท้ายายม่อม หรือใบ, รากของไม้เท้ายายม่อมให้ ทางร้านสมุนไพรตอบว่า "จะจัดใบ หรือกิ่งของเท้ายายม่อม" ให้ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ทั้งร้านมีเท้ายายม่อมอยู่เพียงชนิดเดียว" พร้อมทั้งได้นำเอาหนังสือ "สารานุกรมสมุนไพร" มาเปิดให้ดู ชี้ไปที่ภาพและชื่อของสมุนไพรที่มีชื่อว่า "เท้ายายม่อมดอกแดง ปทุมราชา" (ซึ่งที่แท้ก็คือ พืชชนิดที่มีชื่อว่า "ไม้เท้ายายม่อม" นั่นเอง แต่เป็นชนิดที่มีดอกแดง ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยฯ ไม่ได้กล่าวถึง เพราะพูดถึงแต่ชนิดที่มีดอกสีขาว คือ "ไม้เท้ายายม่อม" หรือ "ปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด" นั่นเอง)

เพื่อความแน่นอนยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้ไปสอบถามและขอซื้อสมุนไพรที่ตำรับยาระบุว่า ชื่อ "เท้ายายม่อม" จากร้านขายยาสมุนไพร (ในตลาดจังหวัดสุพรรณบุรี) ร้านที่สอง ผลปรากฏว่า ทางร้านใหม่นี้ก็มีสมุนไพรที่มีชื่อ "เท้ายายม่อม" อยู่เพียงอย่างเดียว เมื่อได้นำเอาตัวยาที่ได้จากทั้ง 2 ร้าน มาพิจารณาเปรียบเทียบกัน ผลก็คือ ของทั้ง 2 ตัวอย่างเป็นกิ่งและใบของพืชชนิดเดียวกัน (คือ "ไม้เท้ายายม่อม" ชนิดดอกแดง) ต่างกันเพียงว่า ตัวอย่างจากร้านแรกมีใบมากกว่ากิ่ง ส่วนของร้านหลังมีกิ่งมากกว่าใบเท่านั้น

ในชั้นนี้จึงพอจะสรุปได้ว่า สำหรับร้านค้าสมุนไพรในต่างจังหวัดนั้น หากใครนำเอาตำรับยาที่เข้าด้วย "เท้ายายม่อม" หรือ "ไม้เท้ายายม่อม" หรือ "ปทุมราชา" หรือ "ปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด" ไปขอเจียดตัวยาจากร้านค้า ทางร้านค้าสมุนไพรก็จะจัดตัวยาเพียงชนิดเดียว คือ "ไม้เท้ายายม่อม" (ชนิดดอกสีแดง หรือ "ปทุมราชา") ให้เสมอไป แต่หากเป็นร้านสมุนไพรใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆ บางจังหวัด ก็อาจจะมี "ไม้เท้ายายม่อม" ทั้ง 2 ชนิด (คือ ดอกสีแดง และดอกสีขาว) ไว้บริการ ส่วนเท้ายายม่อมชนิดหัวนั้น จะมีขายในรูปของแป้งผงตามร้านขายสินค้าประเภทแป้งทำขนม (ซึ่งพนักงานขายบางร้านบอกว่า แป้งเท้ายายม่อมสมัยนี้มีคุณภาพสู้แป้งสมัยก่อนไม่ได้ และไม่แนะนำให้นำไปใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ฟื้นไข้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ กรุณาตรวจสอบกันเอง แต่หากได้แป้งจากหัวเท้ายายม่อมแท้ๆ ก็น่าจะยังมีสรรพคุณดีจริงตามที่ตำราว่าไว้)

ดังนั้น หากจะไม่ให้เกิดความสับสนในแวดวงของผู้ใช้สมุนไพรไทย ตำรับยาที่มีการระบุชื่อของ "เท้ายายม่อม" อยู่ ควรจะแก้ไขเป็น "ไม้เท้ายายม่อม" เสียทั้งหมด ในส่วนของร้านค้าสมุนไพรนั้นก็ควรที่จะต้องมีรากหรือใบของ "ไม้เท้ายายม่อม" ทั้งชนิดดอกสีขาวและชนิดดอกสีแดงไว้ให้บริการให้ครบถ้วน เพื่อที่การปรุงยาสมุนไพรจะได้มีคุณภาพตรงตามตำรับอย่างแท้จริง

ส่วนผู้ที่ต้องการปรุงยาสมุนไพรนั้น พึงเข้าใจว่า ทุกครั้งที่ท่านไปขอซื้อสมุนไพรที่ชื่อ "เท้ายายม่อม" จงจำไว้ว่า นั่นคือ "ไม้เท้ายายม่อม" นั่นเอง แต่หากเป็นชื่อเฉพาะว่า "ปทุมราชา" ก็หมายถึง "ไม้เท้ายายม่อม ชนิดดอกสีแดง" แต่ถ้าตำราบอกว่าต้องการ "ปู่เจ้าหายใจไม่รู้ขาด" นั่นหมายความว่า ตำราต้องการ "ไม้เท้ายายม่อม ชนิดดอกสีขาว"
ที่มา http://www.thailand-farm.com/index.php?topic=161.0
บางคนเอาสองต้นมาปนกันมั่ว  พูดถึงลักษณะท้าวยายม่อมแบบที่เป็นหัวแต่เอารูปท้าวยายม่อมแบบต้นมาเฉยเลย
ต้นเท้ายายม่อม ที่ใช้ทำแป้งเท้ายายม่อม  หัวใช้ทำเป็นแป้งได้ เรียกว่า William's arrow root 
ต้นเท้ายายม่อมเป็นพืชล้มลุก มักขึ้นเป็นกอสืบพันธุ์ด้วยหัวใต้ดิน หัวของต้นเท้ายายม่อมขุดเอามาฝนทำแป้งเท้ายายม่อมได้

-ลักษณะ
ลำต้นตั้งตรง ใบขยายแผ่กว้าง หัวกลมหรือรี ใบรูปฝ่ามือ มี 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นใบประกอบหลายแฉกย่อย สีเขียวเข้ม ดอกออกจากหัวใต้ดิน ก้านช่อดอกยาวสูงเลยลำต้น ออกดอกเป็นพุ่มงามมาก ลำต้นเป็นเส้นริ้วเล็กๆลายเป็นทาง

ชาวสวนต้องไม่ขุดหัวจากกอแต่ละกอจนหมด คัดเลือกเอาเฉพาะหัวใหญ่ เพื่อสะดวกในการปอกเปลือกแล้วฝน หัวเล็กๆจะคืนลงกลบฝังโคนกออย่างเดิม ( แต่หาก หัวไหนโดนจอบหรือเสียม จนขาดหรือแหว่ง หัวนั้นก็จะไม่งอก )เมื่อหน้าฝน ก็จะงอกต้นใหม่ขึ้นมา


สำหรับต้นเก่าเมื่อออกดอกและสิ้นฝนไม่นานต้นก็จะเฉา เหี่ยวแห้งและตายไป ในฤดูหนาว ซึ่งรวมทั้งต้นที่ยังไม่ออกดอก ก็ตายด้วย
รอจนประมาณเดือน มกราคม กุมภาพันธ์จึงขุดเอาหัวขึ้นมา
ล้างดินที่เปลือกออกให้สะอาด ปอกเปลือกทิ้งไป แล้วกองในกะละมังมีน้ำแช่เพื่อสะดวกในการฝน
ใช้หัวนี้ฝนบนแผงสังกะสีที่ตีตะปู ถี่ๆ แบบกระต่ายจีน หงายด้านที่มีรูแหลมของหัวตะปูทะลุออก
วางแผงสังกะสีพาดขอบกะละมังแล้วเอาหัวฝนไปมา

เมื่อได้แป้งแล้วแล้วนำไปแช่น้ำไว้จนใสและแป้งนอนกันจึงเทน้ำทิ้ง ทำเช่นนี้ประมาณ 4-5 ครั้ง จึงนำแป้งที่ได้ไปตากแดดจนแห้ง แป้งเท้ายายม่อมเป็นแป้งที่มีราคาแพงเพราะมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก

ลักษณะของแป้งเท้ายายม่อม จะมีสีขาว เป็นลักษณะเม็ดสี่เหลี่ยมเล็กๆ

ต้องระวัง เพราะมีต้นไม้อีกต้นที่สับสนกัน เพราะมีชื่อว่า "เท้ายายม่อม" เหมือนกัน แต่ความจริง ต้นนั้น มีชื่อเต็มว่า ต้น "ไม้เท้ายายม่อม"


ต้นเท้ายายม่อม


ดอกและผลของต้นเท้ายายม่อม เมื่อออกใหม่ๆจะมีสีเขียว




ดอกและผลของต้นเท้ายายม่อมเริ่มแก่ ดอก ผล และหนวด เริ่มเป็นสีเหลือง


ชาวสวนเชื่อว่าหากไม่ตัดดอกของเท้ายายม่อมออก จะไม่เกิดหัวใต้ดินให้ได้ขุดเอามาทำแป้งเท้ายายม่อม


หัวเท้ายายม่อม


ประโยชน์ :

ใช้เป็นสมุนไพรก็ได้ ใช้เป็นยาบำรุงกำลังก็ได้ หัวที่ใช้ทำเป็นแป้งได้ เรียกว่า William's arrow root แป้งเท้ายายม่อมเป็นอาหารอย่างดีสำหรับคนไข้ที่เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ให้คนไข้รับประทานดี เกิดกำลังและชุ่มชื่นหัวใจ

คนโบราณใช้หัวทำเป็นอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะคนแก่ที่ฟื้นไข้ ควรกินแป้งเท้ายายม่อมร่วมกับน้ำอ้อยหรือน้ำตาลกรวด จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยแก้อาการเบื่ออาหารหลังฟื้นไข้ได้ดีอีกด้วย

สำหรับคนทั่วไปการกินแป้งเท้ายายม่อมจะช่วยให้หายอ่อนเพลีย จิตใจชุ่มชื่น แก้ร้อนใน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร และบำรุงกำลังได้อย่างดี แม้แต่นักโภชนบำบัดสมัยใหม่ก็ยืนยันว่า แป้งเท้ายายม่อมมีคุณสมบัติเหมาะกับระบบทางเดินอาหารของมนุษย์เรามากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับแป้งชนิดอื่นๆ ทั้งยังเชื่อว่าการบริโภคแป้งเท้ายายม่อมจะทำให้อารมณ์และจิตใจมีความสมดุล ไม่วิตกกังวลหรือซึมเศร้าจนเกินไป เรียกว่าสามารถทำให้อารมณ์แจ่มใส สมองปลอดโปร่งได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ เท้ายายม่อมยังมีสรรพคุณในการแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย พิษผึ้ง กะพรุนไฟ โดยใช้หัวหรือรากฝนกับน้ำมะนาวทา ใช้โรยปากแผลเพื่อห้ามเลือด โรยถุงเท้าเพื่อป้องกันเชื้อรา ถอนพิษ แก้ผดผื่นคัน ลดสิวฝ้าทำให้หน้าขาว

ส่วนแป้งเท้ายายม่อมในปัจจุบันเริ่มมีการผลิตน้อยลงเรื่อยๆ เพราะคนไม่นิยม แม้ว่าคุณค่าที่แฝงอยู่จะมีมากมายก็ตาม


วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ใช่แป้งละลายน้ำดิบ ใส่น้ำตาลกรวด ตั้งไฟกวนจนสุก ให้คนไข้รับประทาน


มีผลิตขายเป็นแป้งสำเร็จรูป


http://bangkrod.blogspot.com/2011/01/blog-post_31.html

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1340193264&grpid=03&catid=&subcatid=
ส่วนท้าวยายม่อมอีกชนิดเป็นตัวที่ใช้รากมาเข้ายาเบญจโลกวิเชียร เป็นท้าวยายม่อมดอกขาว
ต้นท้าวยายม่อมดอกขาว
ใบคนทีสอ
ตำราบอกว่าดอกเหมือนดอกซิลชี้  ไม่รู้ว่าหมายถึงดอกชิงชี่รึเปล่า (อันนี้เดา)

ว่านพระยาผักบุ้งตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาผักบุ้งตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า

"ว่านพระยาผักบุ้ง ลักษณะลำต้นเป็นเถา ใบเหมือนผักบุ้ง แต่ว่าเล็กกว่า เป็นเถาเลื้อยเกาะ ไม่ทอดยอดเหมือนกับผักบุ้งธรรมดาใบและเถามีละอองขนเล็กน้อย เมื่อมีดอกแกจะเป็นฝักเหมือนกับฝักถั่วและ และมีเมล็ดอยู่ในฝัก เมล็ดและสีสันโตคล้ายกับเมล็ดดอกเทียนสีต่างๆที่ปลูกดูดอกสวยงามอยู่ทั่วๆไป สรรพคุณเป็นว่านคงกระพันชาตรี  เอาเถาและใบมาตำผสมสุรารับประทานฟันแทงไม่เข้าดีนัก บางแห่งนักเลงพนันตีไก่ เอาไปตำผสมน้ำทาตามหน้าแข้งและหน้าของไก่"

ฝักถั่วแระ

ว่านพระยาหอกหักตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาหอกหักตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวว่า
"ว่านพระยาดาบหัก เมื่องอกครั้งแรก ลักษณะใบคล้ายกับหอกใบข้าว ก้านใบยาวเหมือนด้ามหอก หัวคล้ายหัวแห้วหมู เมื่อรับประทานไปสักครู่จะรู้สึกคันปากคอ ตลอดทั้งตัว สรรพคุณคงกระพันชาตรี และแก้โรคผิวหนัง"

ว่านพระยาดาบหักตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาดาบหักตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า

"ว่านพระยาดาบหัก ลักษณะคล้ายใบมีดดาบ ก้านใบเล็กสีเหมือนกับใบโศกอ่อน  กลางของใบมักจะหักอยู่เสมอ หัวเหมือนหัวแห้วหมู ท่านว่าให้เอารากแก้วมาเสกด้วย "นะโมพุทธายะ อิติปิโสฯลฯ ภควาติ" แล้วเอารากนี้มาอมจะคงทนมิเข้าต่ออาวุธทั้งปวง"
หัวหญ้าแห้วหมู

สีของใบอ่อนต้นอโศก สีใบเขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นอมม่วงแปลกตาสวยดี
อันนี้ภูมิใจฝีมือถ่ายยอดอโศกสปันต้นที่บ้าน  555 เอิ้ก ใบเค้าสวยดีนะ  สีม่วงแล้วจางลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวปกติ

ว่านพระยาหัวศึกตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาหัวศึกตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาหัวศึก (มี ๒ ชนิด ) ชนิดหนึ่งลำต้นและใบคล้ายกับขมิ้นอ้อย หัวใหญ่กลมขนาดหัวเผือก เนื้อของหัวสีขาว รสร้อนฉุนจัด
อีกชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นลำต้นเหมือนต้นกระดาษแดง หัวใหญ่กลมขนาดหัวเผือก รสคันจัดมาก มีหน่อดังไหลบอน ชนิดคล้ายพันธุ์หัวกระดาษนี้ ท่านว่าเมื่อจะขุดให้พลีด้วยหมาก ๑ คำ เอาข้าวคลุกด้วยน้ำตาลหม้อ ใส่กระทงวางพลีไว้ทั้ง ๔ ทิศ แล้วจึงขุด ถ้าจะให้อยู่คงกระพันยิ่งนัก ก็ให้ขุดว่านนี้ในวันอังคาร"
ต้นกระดาดเป็นไม้ตระกูลบอนที่มีขนาดใหญ่มาก มีทั้งกระดาดขาว กระดาดเขียว กระดาดแดง กระดาดดำ และจ้นทูนหรือตูน  ตัวหลังนี้กินกับส้มตำ กรอบอร่อย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ชอบน้ำ ชอบร่ม ต้องบันทึกไว้สักเล็กน้อยๆไม่งั้นคนรุ่นหลังจะไปเรียกต้นยูคาลิปตัสว่าเป็นต้นกระดาษตามดับเบิ้ลเอกันหมด

เอามันรูปแสตมป์นี้แหล่ะ สวยดี 555
ต้นกระดาดดำหรือบางที่เรียกกระดาดแดง

ว่านพระยากลอยตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยากลอยตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยากลอย ลักษณะลำต้นเป็นเถาเหมือนเถาต้นกลอย ต้นยาวประมาณ ๑-๒ เมตร ใบเหมือนใบกลอยแต่เล็กกว่า ขอบใบและก้านแดง หัวกลมโตเท่ากับไข่ห่านหรือไข่เป็ด หัวสีเขียวดังน้ำสีคราม สรรพคุณเป็นยาฆ่าปรอทตาย"

ว่านพระริดตีนปูตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระริดตีนปูตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระริดตีนปู ลักษณะลำต้นเป็นเถา เป็นข้อ ๆ มีใบตามข้อละ ๕ ใบๆเล็กเท่ากับตีนปู ถ้าพบเห็นแล้วต้องการรู้ว่าว่านนี้ใช่พระริดตีนปูหรือไม่ ให้เอาว่านน้มาพาดบนหลังปูนา ถ้าขาปูนาหลุดว่านนี้ก็เป็นว่านที่แท้จริง สรรพคุณ เป็นยาฆ่าปรอทและเป็นทุนสิทธิ์"
ว่านพระริดตีนปูคิดว่าน่าจะเป็นต้นเดียวกับก้ามปูหลุด แต่คงไม่ทดสอบว่าจริงรึเปล่ามันบาป
ต้นก้ามปูหลุด ที่นำมาใช้แต่งสวนทั่วๆไป
 
ต้นก้ามปูหลุดทำเป็นไม้แขวนสวยงาม  รูปจากร้านสวนทวีศักดิ์พันธุ์ไม้ เวป nanagarden

ว่านพระยาแร้งตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาแร้งตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาแร้ง ( บางตำราเรียกว่าว่านแร้งคอดำ ) ลักษณะลำต้น ใบ เหมือนต้นพลับพลึง แต่หัวโตกลมคล้ายหอมฝรั่ง ที่โคนใบมีสีแดงกลืนไปตามท้องกระดูกกลางใบและมีสีแดงรอบที่คอต้น สรรพคุณใช้แก้มดลูกเคลื่อนดีนักและคงกระพันด้วย"

ว่านตัวนี้สังเกตุง่าย  อ.วุฒิ  วุฒิธรรมเวชบอกว่าว่านนี้ใช้รักษามดลูกดีกว่าว่านชักมดลูกอีกด้วย  น่าเสียดายที่ลืมถามวิธีใช้
ต้นนี้ก็สังเกตุง่าย  คล้ายพลับพลึงแต่ต้นเล็กกว่าที่คอมีสีคล้ำ คาดอ้อมอยู่   หาไม่ยาก ราคาไม่แพง 
รูปจาก สวนเกษตรอินทรีย์  nanagarden

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ว่านพระยาแร้งแค้นตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาแร้งแค้นตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาแร้งแค้น ลักษณะลำต้นเหมือนต้นผักกาดน้ำแต่ว่าเล็กกว่า ใบเป็นจักค่อนข้างละเอียอดกว่าใบผักกาดน้ำ ขอบใบและก้านใบแดง หลังใบขาว ท้องใบเป็นละอองขน สรรพคุณเป็นยาฆ่าปรอท"

ลองอ่านข้อมูลนี้ดูเป็นการแยกประเภทว่านตามการใช้ประโยชน์ของสมาคมพฤกษชาติแห่งประเทศไทย
"นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ  แพร่วิทยา 60.- เจอในห้องสมุดกลางน้ำ

ฤาษีที่ให้กำเนิดว่าน กะวัต กะวัตพัน สัพรัตถนาถ จังตังกะปิละ

ประเภทต้องทำพิธีก่อนขุด
1.ว่านกบ
ให้เขียนยันต์นี้เสกใส่ฝ่ามือก่อนขุด
862
159
743

ว่านนี้ไม่ชอบของสกปรก

2.ว่านหญ้า ณ รังษี
วงศ์ Amaryllidaceae

ว่านนี้จะขึ้นในแรม 1 ค่ำเดือน 8 จะมีเทวดามาบำเรอฆ้องกลองสังข์ พอแรม 1 ค่ำเดือน 11 เทวดาจะจากไป จะเอาว่านนี้ต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล 5/8 แต่งเครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน เอานพรัตน์หว่านรอบต้น บูชาเทวดา 4 ทิศ สวดคาถาตั้งแต่ ทุขปัตตา ถึง ลภนัตเทวตา ทำในวันอาทิตย์ แรม 1 ค่ำเดือน 8 จึงค่อยขุด

3.ว่านพระจันทร์
หายาก ป้องกันภัย จะไปเอาต้องถือศีล5/8 บูชาเทวดาด้วยเครื่องกระยาบวช แก้วสีเรียงรายรอบต้น เสกด้วย อุมะนะ จันทระ โคระตะ ธาตุ รุคะกะ กะตะ ตัสสะ พะวะไกยะ ประสิทธิเม

4.ว่านพระนารายณ์
ควรปลูกคู่กับว่านมเหศวร

ขุดว่านต้องถือศีล 5/8 บูชาเทวดาเอาพลอยโรยรอบต้น เสกด้วย กุมานะ จันทระ โคระตะธาตุ รุคากะ กะตะ ตัสสะ พะวะไกยะ ประสิทธิเม

5.ว่านพระยาหัวศึก
คงกะพัน ต้องขุดวันอังคาร พลีด้วยหมาก 1 คำ ข้าวคลุกน้ำตาลหม้อใส่กระทงวาง 4 ทิศ แล้วค่อยขุด

6.ว่านเพชรม้า
เอาหัวมาฝนกับเหล้า/น้ำ ทาหัวเข่าลงมาถึงขา เดินวิ่งไม่เหนื่อย

เอาหัวมาตำเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นก้อนเท่าเม็ดถั่วพู กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าเย็น เป็นยาอายุวัฒนะ ให้เขียนยันต์ใส่มือก่อนขุด

9 465 178
2
3

-------------------------------------

ประเภทมีกำลังมาก

ว่านเพชรม้า
เอาหัวมาฝนกับเหล้า/น้ำ ทาหัวเข่าลงมาถึงขา เดินวิ่งไม่เหนื่อย
เอาหัวมาตำเป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งแท้ปั้นเป็นก้อนเท่าเม็ดถั่วพู กินวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น เป็นยาอายุวัฒนะ ให้เขียนยันต์ใส่มือก่อนไปขุด

ประเภทมีกำลังมาก

1.ว่านกระทู้ 7 แบก เมื่อกินหัวว่านจะชาไปทั้งตัว มีกำลังเพิ่มขึ้น คงกระพัน แม้จะโดนตีด้วยไม้กระทู้ตั้ง 7 แบกก็ไม่แตกไม่ช้ำใดๆ

2.ว่านเกราะเพชรไพฑูรย์
หายาก ไม่ชอบของอัปมงคล ถ้าโดนของพวกนี้ว่านจะตาย คงกระพัน+มีกำลังมาก

3.ว่านขันหมาก
ใครหามาปลูกได้ ผู้นั้นเหมือนมีของกายสิทธิ์ไว้กับตัว เพราะเมื่อกินผลของว่านนี้จะเป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม เป็นหนุ่มสาวเหมือนตอนก่อนจะกินว่าน ไม่รู้จักแก่ อายุยืน ฟันไม่หัก ผมไม่หงอก มีกำลังมาก คงกระพัน เดินไม่เมื่อยเลย

4.ว่านนิลพัฒน์/ไฟ/เพลาะแพละ/คว่ำตายหงายเป็น
ทาถูนวดผสมการบูรแก้เคล็ด เนื้อหนังชา โดนฟันแทงไม่เจ็บ ถ้าเอามาฝนทามือชกใครก็ตาม คนนั้นจะเจ็บปวดยกมือยกเท้าไม่ขึ้น
ถ้ากินหัวว่านนี้จะสามารถแบกหามชักรากไม้ได้โดยไม่เหนื่อย นึกทำสิ่งใดจะสำเร็จ

5.ว่านมหาปราบ
ดีเลิศอันดับ 1 ด้านคงกระพัน มีกำลังมากดุจช้างสาร

6.ว่านมหาเมฆ
ล่องหนได้ ถ้ากินจะมีกำลังมากเท่า 7 ช้างสาร สามารถถอนต้นยางต้นตาลได้ง่ายๆ ยกช้างได้ ศัตรู 100 คนรุมจับไม่อยู่

7.ว่านแม่ทัพ
มหากำลัง แก้จุกเสียดแน่น

8.ว่านล้อมทั่วมฤดู
เอาหัวมาหุงน้ำมันกินเกิดพละกำลัง

9.ว่านสากเหล็ก
ทามือก่อนชก คนโดนชกจะเจ็บปวดไปถึงหัวใจ คงกระพัน มีแรงมาก สามารถต่อสู้กับเสือหมีช้างได้ทุกอย่าง สามารถต่อสู้กับพญาครุฑ - พญานาคและนกหัสดินทร์ได้

10.ว่านเสือ
มีกำลังมากแม้จะแก่แล้วก็สามารถยกควายได้ทั้งตัว+คงกระพัน

11.ว่านอานุภาพ
มีกำลังมาก+คงกระพัน

12.ว่านท้าวชมภู
ตำผงผสมน้ำผึ้งกินเป็นมหากำลัง คงกระพัน อายุยืน

ประเภทตีค่าตำลึงทอง
1.ว่านสาวหลง/ฤาษีผสม
ตีค่าทองคำ 400 ล้านบาท เมตตามหานิยมชั้นสูงสุด ปลูกวันเสาร์ได้วันเดียวเท่านั้น
เวลาปลูกให้หันหน้าทางทิศตะวันออก

2. ว่านแสงอาทิตย์/ตะกร้อ/กระทุ่ม
ตีค่าแสนตำลึงทอง
กินว่านนี้จะเหาะเหินเดินอากาศได้ ทาตาจะเป็นตาทิพย์ ล่องหนได้

3.ว่านหนุมาน
ตีค่าแสนตำลึงทอง

4.ว่านกำแพงเพชร 7 ชั้น
ป้องกันภูตผีปีศาจ ตีค่าพันตำลึงทอง กันคุณไสย

5.ว่านเถารางจืด
รสเย็น ถอนพิษเบื่อเมา เอาหัวว่านไปผสมสิ่งใด สิ่งนั้นจะจืดหมด ผสมกับเกลือทำให้เกลือจืด ผสมเหล้าทำให้เหล้าจืด กินไม่เมา เป็นไม้หายาก ตีค่า 5 พันตำลึงทอง


ประเภทคงกระพัน

1.ว่านกระชายดำ
แก้บิด แก้ป่วง ยาอายุวัฒนะ คงกระพัน

2.ว่านกระท่อมเลือด
คงกระพัน

3.ว่านกระทู้
คงกระพัน กินแก้เมื่อยขบ

4.ว่านกระบี่ทอง/นางวันทองห้ามทัพ
อมแก้หวัดลงคอ คงกระพัน แก้แซง้อ คอตีบ

5.ว่านกระสือ
คงกระพัน กายสิทธิ์ลอยเป็นกระสือไปหากินโดยใช้ใบหน้าของคนที่ปลูก

6.ว่านกาสัก/พระยากาสัก/เสือนั่งร่ม/หอกหล่อ
คงกระพัน

7.ว่านกำแพงขาว
เป็นยาประสานบาดแผล + คงกระพัน

8.ว่านกลิ้งกลางดง
กินหรือติดตัวเป็นคงกระพัน

9.ว่านกีบแรด
รสเย็นชืด สัตว์ป่าชอบกินมาก กินแก้ปวดหัว แก้ไข้พิษ ขับปัสสาวะ แก้ตาเจ็บ คงกระพัน ยาอายุวัฒนะ

10.ว่านชักมดลูกตัวเมีย
คงกระพัน

11.ว่านขมิ้น
แก้ลม แก้บวม แก้ไข้ทั้งปวง คงกระพัน

12. ว่านขมิ้นแดง/ปัดตลอด
ยาบำรุงกำลัง+คงกระพัน

13.ว่านเขาควายใหญ่
คงกระพัน

14.ว่านเขาควายเหล็ก
คงกระพัน

15.ว่านเขาวัว
คงกระพัน

16.ว่านค้อนหน้าทั่ง
คงกระพัน

17.ว่านคางคก
กินแล้วจะคันตัวยิกๆ อยู่คงชั่วขณะหนึ่ง พอปัสสาวะออกมาก็หมดฤทธิ์ ให้กินก่อนโดนโบยตี

18.ว่านพระยาปลิง/คืบ/พืชมงคล
คงกระพัน ถ้าเอาหัวว่านนี้ลงน้ำ ปลิงจะไม่มาเกาะเลย

19.ว่านจักรไกร
คงกระพัน

20.ว่านจักรพรรดิ/มหาจักรพรรดิ
คงกระพัน

21.ว่านใจดำ
คงกระพัน

22.ว่านเฒ่าหนังแห้ง
คงกระพัน แค่พกใบเอาไว้ก็คงกระพัน

23.ว่านเณรแก้ว
คงกระพัน

24.ว่านแดกแด้/ตัวไหม
ติดตัวเป็นคงกระพัน ห้ามใช้ฟันเชือกหนือเถาใดๆ ฤทธิ์จะเสื่อม

25.ว่านตาลปัตรฤาษี
กินอยู่คง ติดตัวแคล้วคลาด

26.ว่านเต่า
คงกระพัน + เมตตามหานิยม

27.ว่านท้าวชมภูหนังแห้ง(สีแดง)
ใช้ได้ทุกส่วน คงกระพันโดยไม่ต้องใช้คาถาเสก

28.ว่านนารายณ์แบ่งภาค
คงกระพัน

29.ว่านนารายณ์แปลง
คงกระพัน + กันเสนียดจัญไร

30.ว่านน้ำเต้าทอง
ศิริมงคล + คงกระพัน

31.ว่านปรอท
ติดตัวคงกระพัน

32.ว่านปัดตลอด
เสน่ห์+คงกระพัน ทำสิ่งใดมักสำเร็จด้วยบารมีของว่าน

33.ว่านประกานเหล็ก/กายประสิทธิ์
คงกระพัน

34.ว่านปราบสมุทร/เพชรคง
เมตตา+คงกระพัน

35.ว่านพระยาช้างเผือก/พระยาเสวก
แก้พิษงู/หมาบ้า ผีกลัว คงกระพัน แก้เจ็บเอว+เจ็บหลัง

36.ว่านพระยาปัจเวก
แก้พิษงู กันผีปีศาจ คงกระพัน ศิริมงคล ถ้าโดนลิ้นจะเป็นใบ้ลิ้นแข็ง

37.ว่านพระยาดาบหัก
คงกระพัน

38.ว่านพระยาแร้งคอดำ/คอแดง
คงกระพัน + แก้ริดสีดวงทวาร

39.ว่านพระยากาสักดำ
คงกระพัน

40.ว่านพระยาหอกหัก
คงกระพัน

41.ว่านพระยาหัวเดียว
คงกระพัน ถ้าได้กินหัวว่านนี้ 3 หัว ศพไม่ไหม้ไฟ เอาหัวมาฝนทามือไปชกใคร คนนั้นจะเจ็บปวดมาก

42.ว่านเพชรกลับ
คงกระพัน+กันคุณไสย

43.ว่านเพชรใหญ่
คงกระพัน

44.ว่านเพชรตาเหลือก
คงกระพัน ถ้าปลูกในบ้านจะทำให้โชคลาภหลุดลอย

45.ว่านเพชรหน้าท้อง
คงกระพัน

46.ว่านเพชรน้อย
กินหัวจะชาตามผิวหนัง ระงับความเจ็บปวด คงกระพัน

47.ว่านเพชรไพรวัลย์
หอมเหมือนดอกกระถิน เมตตามหานิยม+คงกระพัน

48.ว่านไพลขาว
คงกระพัน

49.ว่านมรกต
แก้ปวดท้อง แก้ธาตุพิการ คงกระพัน

50.ว่านม่วง
คงกระพัน

51.ว่านหมื่นปี/อ้ายใบ้
คงกระพัน ถ้ายางโดนลิ้นจะเป็นใบ้

52.ว่านหมูกลิ้ง
คงกระพันมาก

53.ว่านลิงดำ
คงกระพัน

54.ว่านเหล็กไหล
คงกระพัน

55.ว่านรางเงิน
คงกระพัน

56.ว่านโรหิณี
กินแก้โรคกษัย อายุวัฒนะ คงกระพัน

57.ว่านศรนารายณ์
คงกระพัน+เมตตา

58.ว่านสบู่ทบ
คงกระพัน

59.ว่านสบู่หลวง
คงกระพัน ถ้ากินจะผื่นขึ้น

60.ว่านสบู่ส้ม
คงกระพัน + อายุวัฒนะ

61.ว่านสายรุ้ง
แก้บิด ห้ามเลือดหยุดในทันที คงกระพัน

62.ว่านหนุมานตกแท่น
คงกระพัน

63.ว่านหนุมานทรงเครื่อง
คงกระพัน

64.ว่านหนุมานนั่งแท่น
คงกระพัน

65.ว่านหางลิง
คงกระพัน

66.ว่านอาหนัง
คงกระพัน

67.ว่านขมิ้นขาว
เสน่ห์+คงกระพัน


ประเภทแก้พิษ

1.ว่านปลาไหลน้อย
กินแก้คุณไสย + ห้ามกินปลาไหลเด็ดขาด

2.ว่านปลาไหลใหญ่
กินแก้คุณไสย

3.ว่านปลาไหลเหลือง
แก้ลมเพลมพัด แก้ยาเบื่อเมาจากพืช/หอย/ปลา/แมลงได้ทุกชนิด

4.ว่านปลาไหลม่วง
แก้คุณไสย

5.ว่านเปราะบ้าน/เปราะหอม
รสหอมร้อน กระทุ้งพิษ แก้ปวดท้อง เจริญธาตุไฟ หัวใช้เป็นเครื่องเทศใส่แกงได้

6.ว่านพระยาดำ
แก้พิษเบื่อเมา

7.ว่านพระยาจงอาง
แก้พิษงูทุกชนิด

8.ว่านพระยานกยูง/ผักตีนกวาง/กูดซัง
เหง้าแก้พิษงู แก้กามโรค แก้เยื่อจมูกอักเสบ รักษาไอกรน
ต้นอ่อน+ใบอ่อนแกงกินได้ มีรสหวาน

9.ว่านหมอก
แก้พิษทุกชนิด กลิ่นฉุนร้อนจัด

10.ว่านร่อนทอง
แก้พิษทั้งปวง แก้บิด มูกเลือด กลิ่นหอมหวานเหมือนกระชาย

11.ว่านฤาษี
แก้พิษว่าน แก้บวมทั่วตัว

12.ว่านแสนนางล้อม
กันไฟไหม้ กันพิษว่านยา

13.ว่านหนุมานยกทัพ
ต้นใบคล้ายกระชาย แก้พิษทุกอย่าง

14.ว่านขอทอง
* วิเศษกว่าว่านแก้พิษทั้งปวง *
แก้พิษเบื่อเมาจากเห็ด หอย ว่าน พันธุ์ไม้ต่างๆได้ คนโดนผีเข้าถ้าได้กำหัวว่านนี้จะชักดิ้นชักงอทันที
หายาก ใครมีเหมือนได้ลาภอันประเสริฐ

15.ว่านข่าจืด
ทำเป็นลูกประคำ เสกด้วย นะโมพุทธายะ 108 คาบ ใครคิดฆ่าด้ยยาพิษใดๆกลายเป็นจืดสิ้น

16.ว่านงูเห่า
แก้พิษงูทุกชนิด

17.ว่านจั๊กจั่น
แก้พิษงู

18.จ่าว่าน/พระยาว่าน
แก้พิษว่านอื่น ถ้าเอาว่านนี้ปลูกรวมกับว่านอื่น ว่านอื่นจะกลายเป็นจ่าว่านไปด้วย
ให้นำว่านนี้ปลูกแยกใส่กระถางวางรวมกับว่านอื่น จะช่วยรักษาว่านอื่นให้คงฤทธิ์เอาไว้ไม่เสื่อม

19.ว่านรางจืด
แก้ถูกพรายอากาศ ลมเพลมพัด

20.ว่านถอนโมกขศักดิ์
แก้ของเบื่อเมา วางในอาหาร ถ้าหมุนติ้วหรือกระตุกขึ้นลงแสดงว่ามีพิษ

21.ว่านหนังแห้ง/เฉลิมโลก
แก้พิษสัตว์กัดต่อย คงกระพัน

22.ว่านพระยานางดำ
มีรสร้อน แก้ฤทธิ์ว่านทั้งปวง เสน่ห์เมตตา


ประเภทฆ่าปรอท

1.ว่านผักเบี้ยโหรา
ทอดดีบุกเป็นเงิน กินถึงตาย

2.ว่านพระยากลอย
3.ว่านพระยากรวด
4.ว่านพระยากา
รากเหมือนมะกอก ยางเหมือนต้นงิ้ว

5.ว่านพระยางู
6.ว่านพระยาหมี
ในวันดับ คือ 15 ค่ำสิ้นเดือน จะได้ยินเสียงดังเหมือนหมี

7.ว่านพระยาริดตีนปู
เอาไปวางบนหลังปู ขาปูหลุดหมดทันที

8.ว่านพระยาแร้งแค้น
กลิ่นเหมือนกระเทียม

9.ว่านพระยาอังกุลี
10.ว่านสมอ
11.ว่านแสงฟ้า
12.ว่านเขามูกหลวง
13.ว่านช้อยนางรำ/มีดยับ/แผวแดง
เมตตา กวักเงินกวักทองเข้าบ้าน ฆ่าปรอท

14.ว่านนาคราช/พระยานาค

ประเภทอื่นๆ

1.ว่านเนรกันถีย์
เลี้ยงไว้เสี่ยงโชค เวลาปลูกอย่าให้เงาทับต้นว่าน

2.ว่านปลาไหลขาว/ปลาไหลเผือก
แก้ปวดฟัน

3.ว่านเปราะน้อย/ค้ำคูณ
เมตตา

4.ว่านผักปลับ/โสม/ผักบุ้ง
ว่านกายสิทธิ์ กันภัย กินยางว่านนี้จะกลายเป็นคนกายสิทธิ์ ไม่แก่ ไม่มีโรค ควรใช้กระถางบัวปลูก

5.ว่านพงพอน/ดีงูหว้า
ให้ช้างม้ากินจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ แก้ปวด รักษาธาตุพิการ

6.ว่านพัดแม่ชี
ปัดจัญไร

7.ว่านพระเจ้า 5 พระองค์
วงศ์มะม่วงหิมพานต์ คุ้มภัย กันผี

8.ว่านพระตบะ
มีรสร้อนฉุนจัด เนื้อในสีขาวมีฤทธิ์เป็นปรอท แม้แต่ใบ-ราก-ดินที่ใช้ปลูกก็สามารถซัดไล่ผีได้ กันพรายบก พรายน้ำ พรายอากาศ
ถ้านำว่านนี้ไปถามคนทรงเจ้าตัวจริง จะบอกถูกว่ามีสรรพคุณอะไร ถ้าคนทรงหลอกๆจะไม่รู้จัก พวกพระภูมิเจ้าที่รู้จักว่านนี้ดีเพราะว่านนี้ไม่ทำอันตรายพวกท่าน
ควรนำว่านนี้ใส่กรอบห้อยคอไว้ กันผีได้ทุกประเภท

9.ว่านพระมเหศวร
ผีกลัวเหมือนว่านพระตบะ

10.ว่านพระอาทิตย์
กันภัย

11.ว่านพระยากระบือ
วันอังคารและวันเสาร์จะร้องเสียงกระบือ นำพาโชคลาภ

12.ว่านพระยานก
กันไฟ กันภัย กรีดเอายางมาต้มกินอายุยืน

13.ว่านพระยาลิ้นงู
หัวว่านอยู่กับใคร ตะขาบ+งูจะไม่สามารถอ้าปากกัดคนนั้นได้

14.ว่านพืด
นำพาลาภผล

15.ว่านเพชรสังฆาต
เถากินแก้กระดูกแตกหักซ้น

16.ว่านพุทธกวัก
เมตตา กันภัย มหามงคล

17.ว่านไพลดำ
Zingiber Specatbile [ Griff ]
แก้ลำไส้เป็นแผล ยาบำรุงกำลัง

18.ว่านมหาอุดม
แบบเดียวกับว่านดอกทอง

19.ว่านม้าสีหมอก
เมตตา

20.ว่านม้าห้อ
เดินไม่เหนื่อย รักษริดสีดวงทวาร

21.ว่านสันโดษ
บำรุงกำลัง แก้โรคหัวใจ

22.ว่านเอ็นเหลือง
ต้มหัวกินแก้อัมพาต เหน็บชา เบาหวาน ไตพิการ

23.ว่านกระชายแดง
ยาอายุวัฒนะ

24.ว่านการบูรเลือด
มีธาตุปรอท ถ้าเคียวกินฟันจะโยก

25.ว่านกำบัง
กันโทษภัยจากว่านร้ายๆอื่นๆ

26.ว่านไก่ขัน
เสน่ห์เจ้าชู้ ก่อนกินท่อง คิวะหายัง มะธุรังวาจา คิวะหาวาจันติ พุทธะสิตะวา จะสุพะธะรัง ปิยาเยวะ ปิยุนตุถา 3 จบ.

27.ว่านขุนแผนสะกดทัพ
พกติดตัวเป็นเมตตามหานิยม ถ้าจะทำให้หลับเคลิบเคลิ้ม เสกด้วยคาถาฤาษีแปลงสาร
ภะคะวา สุคะโต อะระหัง 7 จบ.

28.ว่านเขียด
นำลาภมาสู่

29.ว่านคงคา
ดับพิษร้อนในและนอกร่างกาย ยาอายุวัฒนะ กินแล้วไม่แก่เฒ่า ตาไม่เสื่อมไม่ต้องใช้แว่น

30.ว่านกวัก
แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการ แก้เบาหวาน ไตพิการ

31.ว่านจังงัง
เมตตา

32.ว่านจันทโครพ
เมตตา

33.ว่านฉัตรพระพรหม
ทำให้อยู่เย็นเป็นสุข

34.ว่านช้างผสมโขลง
เสน่ห์เมตตา ออกดอกจะมีโชคลาภ

35.ว่านไชยมงคล/ศรีคันไชย
ศิริมงคล พกติดตัวทำอะไรก็ได้รับชัยชนะ

36.ว่านดอกไก่
เสน่ห์เจ้าชู้

37.ว่านดอกทอง
แค่น้ำที่รดผ่านว่าน ก็ทำให้เกิดอารมณ์พิศวาสได้ ใช้ได้ทั้งต้น

38.ว่านดอกบัว/บัวเคือ
ยาอายุวัฒนะ ปั้นเป็นลูกกลอนเท่าเม็ดพุทรา กินเป็นยาบำรุงธาตุ

39.ว่านดาบนารายณ์
สิริมงคล มีลาภ เมตตา ปัดเสนียด

40.ว่านดินสอฤาษี
แบบเดียวกับว่านดอกทอง

41.ว่านทรหด
แก้ไส้เลื่อน แก้เบาหวาน ห้ามกินของมันจัด-คาวจัด

42.ว่านทางเงิน
เมตตา

43.ว่านนกคุ้ม
กันไฟ

44.ว่านนกยูง
เมตตา

45.ว่านนางกวัก
เล่นกันมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสามทอง ล่องหาโดนเอาหัวว่านมาห่อผ้าเช็ดหน้าโพกหัว อยากได้สิ่งใดสำเร็จดังใจ

46.ว่านนางคุ้ม/ผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน
กันไฟ คุ้มภัยเกราะเพชร 7 ชั้น

47.ว่านนางพญาหงษ์ทอง
เสน่ห์

48.ว่านนางมาควดี/มหาโชค
หายาก บำรุงโลหิต

49.ว่านนางล้อม
กันภัย "     

ว่านพระยาลิ้นงูตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยาลิ้นงูตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาลิ้นงู หัวคล้ายหัวหอมใบเหมือนใบกระเทียม แต่กว้างกว่า ที่หัวเป็นกาบซ้อนกัน  กาบแข็งกว่ากาบหัวหอม สรรพคุณ เอาหัวตำกับน้ำมะนาว ทาแก้พิษงู และพิษตะขาบแมงป่องกัดต่อย"

ว่านพระยาลิ้นงูไม่ค่อยมีปัญหารู้สึกจะระบุตรงกันหมด
ที่มา http://yimpaen.com/f_view.php?f=leepunmai2555&b=4&p_id=11

ว่านพระยาอังกุลีตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ ก

ว่านพระยาอังกุลีตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยาอังกุลี ลักษณะลำต้นสูงประมาณ ๕ นิ้ว ใบคล้ายใบน้ำเต้า ถ้าพบเห็นให้ลองบีบปรอทใส่ลงในฝ่ามือแล้วบีบเอายางนั้นเทลงในฝ่ามือที่มีปรอทอยู่แล้ว ถ้าปรอทนั้นอยู่ก็เป็นทุนสิทธิ์"

มีผู้พูดถึงเรื่องว่านไว้น่าสนใจ ใน http://www.gotoknow.org/blogs/posts/168582  เขาเขียนอยู่ ๓ ตอน  น่าเสียดายที่หยุดเขียนไปเฉยๆ ลองอ่านกันดู
"ตอนที่๓ ชื่อว่านที่นักเล่นว่านทุกคนต้องยอมรับ
ปัญหาที่เป็นข้อถกเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไร ของนักเล่นว่านทั้งหลายก็คือ ว่านทั้งหมดมีกี่ชนิดกันแน่ ชื่อไหนที่เชื่อได้ว่าเป็นว่านแน่นอน และชื่อไหนที่ไม่ใช่ว่านเพราะอะไร ตลอดระยะเวลา 79 ปี นับตั้งแต่ตำราว่านเล่มแรกได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2473จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยมีใครที่คิดจะแก้ปัญหานี้ให้กระจ่างเพื่อให้ความสงสัยมันหลุดพ้นออกไปจากวงการนักเล่นว่านเสียที
วันนี้ ผู้เขียนจะมาขออาสาเป็นผู้คลี่คลายปัญหาในข้อนี้ เพื่อที่จะลดความเห็นอันขัดแย้งกันภายในแวดวงของนักเล่นว่านทั้งหลาย และเพื่อให้เป็นหลักในการเรียนรู้และอ้างอิงสำหรับนักเล่นหน้าใหม่ หรือบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องว่าน
รายชื่อว่านต่อไปนี้ เป็นชื่อที่ผู้เขียนได้ทำการรวบรวมและตรวจสอบมาอย่างดีแล้วว่ามีบันทึกอยู่ในตำราว่านของยุคเก่าทั้งสิบเอ็ดเล่มนั้นจริง(โปรดอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับตำราว่านรุ่นเก่าทั้งหมดจากตอนที่1) และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกๆ คนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ผู้เขียนยังได้เพิ่มหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เข้มงวดขึ้นไปอีก เช่น ชื่อว่านแต่ละชนิดที่จะบันทึกไว้ต่อไปนี้ จะต้องมีบันทึกอยู่ในตำราเก่าถูกต้องและตรงกันอย่างน้อยตั้งแต่ 2เล่มขึ้นไป ชื่อไหนที่มีบันทึกมาในตำราเพียงเล่มเดียวและมีลักษณะอันเชื่อได้ว่าไม่ใช่พันธุ์ไม้ดั้งเดิมของไทย จะทำการคัดแยกออกไปไว้อีกหมวดหนึ่งต่างหาก อีกทั้งว่า่่นที่มีบันทึกมาจากตำราคนละเล่มคนละชื่อกัน แต่ถ้าได้ทำการตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเป็นว่านชนิดเดียวกันแน่นอน ก็จะนำมารวมไว้เป็นว่านชนิดเดียวกันแต่จะบอกชื่อไว้ให้ครบหมดทุกชื่อตามที่ตำราเก่าได้จดบันทึกไว้ ส่วนชื่อที่อยู่ในวงเล็บนั้นเป็นชื่อรองหรือชื่อพ้องที่เรียกแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่นก็จะเก็บมาแต่ชื่อที่รู้จักกันเป็นส่วนมากเท่านั้น
และนี่คือ"รายชื่อว่าน" แท้ๆ ของไทยที่ถูกต้องแน่นอน จำนวนทั้งหมด 270ชนิด เรียงลำดับตามตัวอักษร ดังนี้
1)กงจักรพระอินทร์
2)กบ (พญาอังกุลี, ท้าวอังกุลี)
3)กระจายหางดอก
4)กระแจะจันทน์ (กระแจะจันทน์หงสา)
5)กระชายแดง
6) กระชายดำ
7) กระท่อมเลือด, สบู่เลือดเถา(ผู้-เมีย)
8) กระทู้
9)กระทู้เจ็ดแบก                             
10) กระบี่ทอง (นางวันทองห้ามทัพ)
11)กระสือ
12)กลอยจืด
13)กลิ้งกลางดง
14)กวัก
15) ก้ามปู (ดองดึง, หัวขวาน ฯลฯ)
16) การบูรเลือด
17) กาสัก
(เสือนั่งร่ม, เสือร้องไห้, ฯลฯ)
18)กีบแรด (กีบม้า) มี 2 ชนิด
19)กุมารทอง
20)เกราะเพชรไพฑูรย์ (เกราะเพชรพระยา)
21) กำบัง(กั้นบัง)
22) กำแพงขาว
23) กำแพงเจ็ดชั้น(กระจายทอง)
24) ไก่ขัน (ไก่ไห้, เกี๊ยะ)
25)ไก่แดง
26) ขมิ้นขม
27)ขมิ้นขาวปัดตลอด
28)ขมิ้นขาวเสน่ห์
29) ขมิ้นแดงปัดตลอด (ดอกอาวแดง, ฯลฯ)
30) ขมิ้นดำ
31) ขมิ้นอ้อย (ว่านขมิ้น,ว่านเหลือง)
32) ขอ(ชักมดลูกตัวเมีย)
33) ขอทอง (ขอคำน้อย,ว่านแก้)
34)ขันหมาก
35) ข่า(ข่าแดง)
36) ข่าจืด
37)ขุนแผนสะกดทัพ
38) ขุนแผนสามกษัตริย์
39)เขียด
40) เข้าค่ำ (เช้าค่ำ)

ว่านพระยากระบือตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยากระบือตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยากระบือ ลักษณะลำต้นเหมือนต้นมะตูม หัวเหมือนหัวกล้วย ใบซอยๆ ต้นและดอกหอมเหมือนแก่นจันทร์ ว่านนี้น่าอัศจรรย์  ท่านว่าวันดีคืนดีว่านนี้จะได้ยินเสียงร้องดังเหมือนกระบือ (บางตำราว่าวันอังคาร วันเสาร์จึงจะร้อง สรรพคุณมิได้บอกไว้
ว่านพระยางู ลักษณะลำต้นเหมือนผักโหม ใบเหมือนใบชุมเห็ด ยางมีสีเหลือง สรรพคุณเอายางมากวนกับปรอทตายแล"
ลองมาดูว่านตัวนี้ตามข้อมูลของอ.นพคุณ คุมา
"ว่านพระยากระบือ
ว่านพระยากระบือ จัดเป็นว่านในตำรา พบในตำราของ หลวงประพัฒสรรพากร, ชัยมงคล อุดมทรัพย์, พยอม วิไลรัตน์, อุตะมะ สิริจิตโต, นายเลื่อน กัณหะกาญจนะ, อาจารย์ญาณโชติ ตามลำดับ
หลวงประพัฒสรรพากร (2475, หน้า 25)
ว่านพระยากระบือ หัวเหมือนหัวกลอย ต้นเหมือนมะตูม ใบซอยๆ ต้นและดอกหอมเหมือนแก่นจันทน์ วันอังคารและวันเสาร์ร้องดังเหมือนกระบือ (แต่ไม่ปรากฎใช้อะไร)
พยอม วิไลรัตน์ (2504, หน้า 74) ได้ระบุประโยชน์ของ ว่านพระยากระบือ ไว้ดังนี้

มีคุณในการทำให้ผู้ได้ว่านนี้มาปลูกไว้ และรักษาเป็นอย่างดี เกิดสมบูรณ์พูนสุขสวัสดิมงคลแก่ตัวและครอบครัว ย่อมนำโชคลาภมาสู่ตลอดเวลา
ว่านพระยากระบือ ที่เล่นกันในปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด คือ
ชนิดแรกนี้ เป็นว่านพระยากบือ สายของป้าบุญช่วย ใจยุติธรรม เป็นผู้ค้นคว้า

ชนิดที่สอง เป็นว่านพระยากระบือ สายของ อ.หล่อ ขันแก้ว เป็นผู้ค้นคว้า
ชนิดที่สาม เป็นว่านพระยากระบือ สายของ อ.มา เครื่องทองดี เป็นผู้ค้นคว้า  (ผู้เขียนพบว่า ชนิดที่สามนี้ มีชื่อท้องถิ่นว่า มันเขาวัว)

เมื่อเทียบกับตำราแล้ว ผู้เขียนคิดว่า ว่านพระยากระบือชนิดแรก สายป้าบุญช่วย ใจยุติธรรม มีลักษณะค่อนข้างตรงตามตำรามากกว่าชนิดอื่นในขณะนี้ ด้วยเหตุผล คือ หัวเหมือนกลอย และใบเป็นซอยๆ
แต่ยังไม่ถือเป็นข้อยุติของว่านชนิดนี้ จนกว่าจะมีการค้นพบว่านพระกระบือที่มีลักษณะใกล้เคียงตามตำรามากกว่านี้"
ที่มา http://luckyplant-cm4769.blogspot.com/2011/02/blog-post.html
ถึงจะไม่มีข้อยุติอะไร  แต่ก็สนุกดีนะ  ใครจะไปรู้เวลาเราเดินป่าหรือเดินไปตามข้างถนน  เราอาจเจอต้นว่านเด็ดๆเข้าซักต้นก็ได้

ว่านพระยากาตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘

ว่านพระยากาตำรากบิลว่านฉบับสมบูรณ์ รวบรวมโดย ร.ต.สวิง กวีสุทธิ์ ร.น. พิมพ์เมื่อพ.ศ.๒๕๐๘ กล่าวไว้ว่า
"ว่านพระยากา ลักษณะลำต้นเหมือนต้นกล้วยป่า ใบเหมือนใบโพธิกาฝาก มีใยเหมือนใยบัว ยางเหมือนยางงิ้ว รากเหมือนคล้ายรากมะกอก สรรพคุณเอายางมากวนกับปรอทตายแล"
อันนี้ส่วนใหญ่เราจะได้ยินแต่พระยากาเผือกหรือต้นกระดาดด่าง ที่มาสวนเกษตรอินทรีย์ จากnanagarden
ส่วนเรื่องปรอทนี้พูดกันยาวเป็นตำนานนิทานเรื่องสนุกเลย  ลองดูกัน

"ปรอทตามภูมิปัญญาโบราณ ปรอท ถือว่าเป็นธาตุอาถรรพ์ มีชีวิต มีจิตวิญญาณ
และท่านที่มีภูมิปัญญาได้เรียนรู้และศึกษาธาตุปรอทนี้ จนได้พบกับความมหัศจรรย์ของธาตุปรอทนี้ ว่าเป็นยารักษาโรคได้ และทั้งยังนำมาทำเป็นเครื่องรางของขลังได้อีกด้วย ด้วยฤทธิอำนาจของธาตุปรอท ที่สามารถเคลื่อนย้ายหรือลื่นไหลตัวเองไปตามที่ต่างๆ ได้ คนโบราณที่มีภูมิปัญญาด้านธาตุปรอทนี้เชื่อกันว่า คนที่ได้พกพาธาตุปรอทติดตัวไว้จะทำให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงได้ ท่านผู้มีวิชาเล่นแร่แปรธาตุ หรือพระอาจารย์ที่มีวิชาอาคมและ พลังจิตแก่กล้า ต่างก็นำเอาปรอทนี้มาเป็นส่วนผสมในวัตถุมงคลของท่านทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เบี้ยแก้ ปรอทกรอ ปรอทเพชร เป็นต้น


ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าปรอทเป็นธาตุพิเศษชนิดหนึ่ง ที่นำมารักษาโรคได้ และได้มีการรักษากันมาแล้ว ธรรมชาติของธาตุปรอทนั้นจะกินสารพิษและดึงสารพิษมารวมไว้กับตัว ธาตุปรอทตามธรรมชาติที่คนโบราณนำมาใช้กันนั้นจึงยังมีพิษอยู่ ก่อนที่จะเอามาใช้ได้จะต้องฆ่าพิษของธาตุปรอทออกก่อน จึงนำมารักษาโรคได้และวิธีหนึ่งของผู้ที่มีภูมิปัญญาด้านธาตุปรอทนั้น
ที่จะนำมารักษาโรคต่างๆ ได้คือ นำปรอทเข้าตัว การนำปรอทเข้าตัวเชื่อกันว่า ปรอทเป็นธาตุที่ชอบกินและดึงเอาสารพิษต่างๆมาไว้ที่ตัวของธาตุปรอทเอง ด้วยเหตุนี้ ถ้านำธาตุปรอทที่ดับพิษ หรือฆ่าเอาพิษของธาตุปรอทออก แล้วนำเอาเข้าตัวก็จะทำให้ธาตุปรอทนั้นไปกินและดึงเอาสารพิษต่างๆ ที่อยู่ในตัวของบุคคลนั้นได้ อาทิเช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัสบางชนิด เป็นต้น อีกทั้ง ปรอทยังเป็นยาประเภทยาถ่าย ยาบำรุงกำลัง แก้ปวด ขับปัสสาวะ ปรับปรุงสุขภาพ และรักษาโรคผิวหนังต่างๆ อีกด้วย
การนำเอาธาตุปรอทเข้าตัว ถือว่าเป็นวิชาโบราณที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูอาจารย์ผู้ที่มีภูมิปัญญาด้านเล่นแร่แปรธาตุ พวกฤาษี พระป่า และท่านที่มีพลังจิตแก่กล้า เป็นต้น
จะขอยกตัวอย่างครูอาจารย์ท่านที่ได้รับการถ่ายทอดวิชา ปรอท คือ พันเอกชม สุคันธรัต ที่ได้การยอมรับว่าท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาต่างๆ จากหลวงปู่เทพ โลกอุดร ท่านพันเอกชม ก็ได้รักษาคนด้วยวิชาธาตุปรอทนี้มาแล้ว โดยนำเอาธาตุปรอท ที่ดับพิษของปรอทออกไปแล้ว นำมาดันเข้าไปบริเวณฝ่ามือ ของผู้ที่ถูกรักษา โดยใช้พลังจิต เป็นสำคัญ ที่จะดันธาตุปรอทเข้าไปในตัวได้...และธาตุปรอทจะเข้าไปดักและกินสารพิษที่อยู่ในตัวคนๆนั้น
เมื่อดันธาตุปรอทเข้าตัวได้ บริเวณฝ่ามือผู้ที่ถูกดันธาตุปรอท จะมีสีออกดำๆ เป็นวง จากการดันและพลักปรอทเข้าไป...และ อีกวิธีคือ ขี้ปรอทสีดำ ถ้าอยู่ในบริเวณฝ่ามือของ ผู้รักษาจะจับและถูบริเวณที่เป็นโรคและปวดเมื่อยของผู้ป่วยได้...


จากคุณ : จักริน - [ 14 Sep 2012 23:38 ] IP : 180.180.222.30



ความคิดเห็นที่ 1 ปรอท แบ่งออกได้ 3 ประเภท ครับ
1. ปรอทดิบ


เป็นปรอทที่ยังไม่แข็งตัว ยังเป็นของเหลวสามารถลื่นไหลตัวได้ ชนิดนี้เองที่คนโบราณต้องใช้วิชาในการดัก และต้องรู้วิธีการดักปรอทนี้เพื่อนำมาทำเป็นวัตถุมงคล และใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ ครับ โดยผ่านกรรมวิธีการหุง หรือที่เรียกว่า วิชา หุงปรอท หรือขึ้นรูปปรอท ครับ


2. คตปรอท


เป็นปรอทที่แข็งตัวตามธรรมชาติแล้ว กล่าวคือเมื่อปรอมดิบ ผ่านการเวลานานวันเข้า ตัวปรอทดิบที่เป็นของเหลวนั้น ได้กินกินแร่ธาตุและสะสารต่างๆจนอิ่มตัว ปรอทดิบนั้นก็แข็งตัว กลายเป็นคตปรอทครับ...ผู้ที่ได้นำคตปรอทนี้ออกมาให้เป็นที่รู้จักต่อผู้คนทั่วไป คือลป.ลมัย ซึ่งเป็นที่รู้เกี่ยวธาตุปรอทมากครับ ลป.ท่านรู้ว่าคตปรอทคือธาตุกายสิทธิ์มีพลังและฤทธิ์ในตัว ด้านคงกะพัน แคล้วคลาด ท่านจึงได้นำคตปรอทนี้มาฝังให้กับลูกศิษย์คนใกล้ชิดของท่านครับ คตปรอทนั้นยังแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ1.คตปรอทธรรมดา จะมีสีดำ 2.คตปรอทเงิน จะมีสีออกเงินยวง 3. คตปรอททอง มีสีออกทองท้องปลาไหล 4. คตปรอทเพชร มีเกร็ดเพชรระยิบระยับ ทอแสงเป็นประกาย และคตปรอทเพชรนี่เอง ที่ลป. บอกว่าเป็น เป็นสุดยอดแห่งคตปรอท มีพลังและความแกร่งมากที่สุด หายากที่สุด ถ้าเปรียบกับเหล็กไหล ก็เทียบเท่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งเลยทีเดียวครับ


3. ปรอทหุง


หรือ ปรอทสำเร็จ เป็นปรอทที่ผ่านวิชาการหุง หรือการขึ้นรูปปรอท เป็นรูปแบบต่างๆ เพื่อง่ายต่อการพกพาครับ โดยนำปรอทดิบที่เป้นของเหลวมาผ่านกรรมวิธีการหุงขึ้นรูปครับ เช่น พระสมเด็จปรอท , ลป.ทวดปรอท, เสือแกะปรอท, ลูกสะกด ฯลฯ เพราะปรอทดิบนั้นเป็นของเหลว เมื่อทำหล่นหรือตกลงพื้นปรอทจะแทรกตัวลงดินไปเลยครับ ซึ่งเก็บรักษาและพกพาได้ยาก ในคนโบราณเลยหาวิธีที่จะทำให้ปรอทแข็งตัวโดยวิชาหุงปรอทขึ้นเพื่อง่ายต่อการพกพาบูชาครับ"
ที่มา  http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=8407783564630969890#editor/target=post;postID=2376581967202361728
เรื่องเกี่ยวกับปรอท ยังมีอีกเยอะจะทะยอยนำมาลงในโอกาสต่อไป