ศูนย์ศึกษารวบรวมพันธุ์พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาไทย จังหวัดนครราชสีมา
คัมภีร์ฉันทศาสตร์ ว่าด้วยการระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์แลจรรยาบรรณของหมอ
ความรู้ทุกความรู้ล้วนมีที่มา ความกตัญญูรู้คุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งของการดำรงชีวิต
"ข้าขอประนมหัตถ์ พระไตรรัตนนาถา ตรีโลกอมรมา อภิวาทนาการ อนึ่งข้าอัญชลีพระฤาษีผู้ทรงญาณ แปดองค์ผู้มีฌาน โดยรอบรู้ในโรคา ไหว้คุณอิศวเรศ ทั้งพรหมเมศทุกชั้นฟ้าสาปสรรค์ซึ่งหว่านยา ประทานทั่วโลกธาตรี ไหว้ครูกุมารภัจ ผู้เจนจัดในคัมภีร์ เวชศาสตร์บรรดามีให้ทานทั่วแก่นรชน ไหว้ครูผู้สั่งสอน แต่ปางก่อนเจริญผล ล่วงลุนิพพานดล สำเร็จกิจประสิทธิพรฯ "
ว่าด้วยธรรมะและจรรยาบรรณของหมอนวดและหมอยา
"จะกล่าวคัมภีร์ฉัน ทศาสตร์บรรพ์ที่ครูสอน เสมอดวงทินกร แลดวงจันทร์กระจ่างตา ส่องสัตว์ให้สว่าง กระจ่างแจ้งในมรรคา หมอนวดแลหมอยา ผู้เรียนรู้คัมภีร์ไสย เรียนรู้ให้ครบหมดจนจบบทคัมภีร์ใน ฉันทศาสตร์ท่านกล่าวไข สิบสี่ข้อคงควรจำ เป็นแพทย์นี้ยากนัก จะรู้จักซึ่งกองกรรม ตัดเสียซึ่งบาปกรรม สิบสี่ตัวจึงเที่ยงตรง เป็นแพทย์ไม่รู้ใน คัมภีร์ไสยท่านบรรจง รู้แต่ยามาอ่าองค์ รักษาไข้ไม่เข็ดขาม บางหมอก็กล่าวคำ มุสาซ้ำกระหน่ำความ ยกตนว่าตนงาม ประเสริฐยิ่งในการยา บางหมอก็เกียจกัน ที่พวกอันแพทย์รักษา บางกล่าวเป็นมารยา เขาเจ็บน้อยว่ามากครัน บางกล่าวอุบายให้ แก่คนไข้นั้นหลายพรรณ์ หวังลาภจะเกิดพลัน ด้วยเชื่อถ้อยอาตมา บางทีไปเยือนไข้ บ่มีใครจะเชิญหา กล่าวยกถึงคุณยา อันตนรู้ให้เชื่อฟัง บางแพทย์ก็หลงเล่ห์ด้วยกาเมเข้าปิดบัง รักษาโรคด้วยกำลัง กิเลศโลภะเจตนา บางพวกก็ถือตน ว่าใช้คนอนาถา ให้ยาจะเสียยา บ่ห่อนลาภจะพึ่งมี บางถือว่าคนเฒ่า เป็นหมอเก่าชำนาญดี รู้ยาไม่รู้ที รักษาได้ก็ชื่อบาน กายไม่แก่รู้ ประมาทผู้อุดมญาณ แม้เด็กเป็นเด็กชาญ ไม่ควรหมิ่นประมาทใจ เรียนรู้ให้เจนจัดจบจังหวัดคัมภีร์ไสย ตั้งต้นปฐมใน ฉันทศาสตร์ดังพรรณา ปฐมจินดาร์โชตรัต ครรภรักษา อไภยสันตา สิทธิสารนนทปักษี อติสารอวสาน มรณะญาณตามคัมภีร์ สรรพคุณรสอันมี ธาตุบรรจบโรคนิทาน ฤดูแลเดือนวัน ยังนอกนั้นหลายสถาน ลักษณะธาตุพิการ เกิดกำเริบแลหย่อนไป ทั้งนี้เป็นต้นแรก ยกยักแยกขยายไข กล่าวย่อแต่ชื่อไว้ ให้พึ่งเรียนตำหรับจำ ไม่รู้คัมภีร์เวช ห่อนเห็นเหตุซึ่งโรคทำ แพทย์เอ่ยอย่างมคลำ จักขุมืดบ่เห็นหน แพทย์ใดจะหนีทุกข์ ไปสู่สุขนิพพานดล พิริยสติตน ประพฤติได้จึงเป็นการ ศีลแปดแลศีลห้า เร่งรักษาสมาทาน ทรงไว้เป็นนิจกาล ทั้งไตรรัตน์สรณา เห็นลาภอย่างโลภนัก อย่างหาญหักด้วยมารยา ใช้น้อยว่าไข้หนา อุบายกล่าวให้พึงกลัว โทโสจงอดใจ สุขุมไว้อยู่ในตัว คนไข้ยิ่งคร้ามกลัว มิควรขู่ให้อดใจ โมโหอย่าหลงเล่ห์ ด้วยกาเมมิจฉาใน พยาบาทแก่คนไข้ ทั้งผู้อื่นอันกล่าวกล วิจิกิจฉาเล่า จงถือเอาซึ่งครูตน อย่าเคลือบแคลงอาการกล เห็นแม่นแล้วเร่งวางยา อุทธัจจังอย่าอุทธัจ เห็นถนัดในโรคา ให้ตั้งตนดังพระยา ไกรสรราชเข้าราวี อนึ่งโสดอย่างซบเซา อย่าง่วงเหงานั้นมิดี เห็นโรคนั้นถอยหนี กระหน่ำยาอย่าละเมิน ทิฎฐิมาโนเล่า อย่าถือเอาซึ่งโรคเกิน รู้น้อยอย่างด่วนเดิน ทางใครอย่าครรไล อย่าถือว่าตนดี ยังจะมียิ่งขึ้นไป อย่าถือว่าตนใหญ่ กว่าเด็กน้อยผู้เชี่ยวชาญ ผู้ใดรู้ในทางธรรม ให้ควรยำอย่าโวหาร เรียนเอาเป็นนิจกาล เร่งนบนอบให้ชอบที ครูพักแลครูเรียน อักษรเขียนไว้ตามมี จงถือว่าครูดีเพราะได้เรียนจึงรู้มา วิตักโกนั้นบทหนึ่ง ให้ตัดซึ่งวิตักกา พยาบาทวิหิงษากาม ราคในสันดาน วิจาโรให้พินิจ จะทำผิดหรือชอบกาล ดูโรคกับยาญาณ ให้ต้องกันจะพลันหาย หิริกังละอายบาป อันยุ่งหยาบสิ่งทั้งหลาย ประหารให้เสื่อมคลาย คือตัดเสียซึ่งกองกรรม อโนตัปปังบทบังคับ บาปที่ลับอย่าพึงทำ กลัวบาปแล้วจงจำ ทั้งที่แจ้งจงเว้นวาง อย่าเกียจแก่คนไข้ คนเข็ญใจขาดในทาง ลาภผลอันเบาบาง อย่าเกียจคนพยาบาล ท่านกล่าวไว้ใน ฉันทศาสตร์เป็นประธาน กลอนกล่าวให้วิถาน ใครรู้แท้นับว่าชาย ฯ"
เป็นหมออาจได้ทั้งบุญและบาป อย่าเกินคำครู ทำไมครูหมอยาไทยถึงเก็บงำความรู้ไว้ ท่านมีเหตุผลของท่าน
" เป็นแพทย์พึ่งสำคัญ โอกาสนั้นมีอยู่สาม เคราะห์ร้ายขัดโชคนาม บางทีรู้เกินรู้ไป บางทีรู้มิทัน ด้วยโรคนั้นใช่วิสัย คนบ่รู้ทิฎฐิใจ ถือว่ารู้ขืนกระทำ จบเรื่องที่ตนรู้ โรคนั้นสู้ว่าแรงกรรม ไม่สิ้นสงสัยทำ สุดมือม้วยน่าเสียดาย บางทีก็มีชัย แต่ยาให้โรคนั้นหาย ท่านกล่าวอภิปราย ว่าชอบโรคนั้นเป็นดี เห็นโรคชัดอย่าสงสัย เร่งยากระหน่ำไป อย่าถือใจว่าลองยา จะหนี ๆ แต่ไกล ต่อจวนใกล้จะมรณา จึงหนีแพทย์นั้นหนา ว่ามิรู้ในท่าทาง อำไว้จนแก่กล้า แพทย์อื่นมาก็ขัดขวาง ต่อโรคเข้าระวาง ตรีโทษแล้วจึงออกตัว หินชาติแพทย์เหล่านี้ เวรามีมิได้กลัว ทำกรรมนำใส่ตัว จะตกไปในอบาย เรียนรู้คัมภีร์ไสย สุขุมไว้อย่าแพร่งพราย ควรกล่าวจึงขยาย อย่ายื่นแก้วแก่วานร ไม่รักจะทำยับ พาตำหรับเที่ยวขจร เสียแรงเป็นครูสอน ทั้งบุญคุณก็เสื่อมสูญ รู้แล้วเที่ยวโจทย์ทาย แกล้งอภิปรายถามเค้ามูล ความรู้นั้นจะสูญ เพราะสามหาวเป็นใจพาล ผู้ใดจะเรียนรู้ พิเคราะห์ดูผู้อาจารย์ เที่ยงว่าพิศดาร ทั้งพุทธไสยจึงควรเรียน แต่สักเป็นแพทย์ได้ คัมภีร์ไสยไม่จำเนียร ครูนั้นไม่ควรเรียน จะนำตนให้หลงทางเราแจ้งคัมภีร์ฉัน ทศาสตร์อันบุราณปาง ก่อนกล่าวไว้เป็นทาง นิพพานสุสิวาลัย อย่าหมิ่นว่ารู้ง่ายตำหรับรายอยู่ถมไป รีบด่วนประมาทใจ ดังนั้นแท้มิเป็นการ ลอกได้แต่ตำรา เที่ยวรักษาโดยโวหาร อวดรู้ว่าชำนาญ จะแก้ไขให้พลันหาย โรคคือครุกรรม บรรจบจำอย่างพึงทาย กล่าวเล่ห์อุบายหมาย ด้วยโลภหลงในลาภา บ้างจำแต่เพศไข้ สิ่งเดียวได้สังเกตมา กองเลือดว่าเสมหา กองวาตาว่ากำเดา คัมภีร์กล่าวไว้หมด ใยมิจดมิจำเอา ทายโรคแต่โดยเดา ให้เชื่อถือในอาตมา รู้น้อยอย่าบังอาจ หมิ่นประมาทในโรคา แรงโรคว่าแรงยา มิควรถือคือแรงกรรม อนึ่งท่านได้กล่าวถาม อย่ากล่าวความบังอาจอำ เภอใจว่าตนจำ เพศไข้นี้อันเคยยา ใช่โรคสิ่งเดียวดาย จะพลันหายในโรคา ต่างเนื้อก็ต่างยา จะชอบโรคอันแปรปรวน บางทีก็ยาชอบ แต่เคราะห์ครอบจึงหันหวน หายคลายแล้วทบทวน จะโทษยาก็ผิดที อวดยาครั้นให้ยา เห็นโรคาไม่ถอยหนี กลับกล่าวว่าแรงผี ที่แท้ทำไม่รู้ทำเห็นลาภจะใคร่ได้ นิยมใจไม่เกรงกรรม รู้น้อยบังอาจทำ โรคระยำเพราะแรงยา โรคนั้นคือโทโส จะภิญโญเร่งวัฒนา แพทย์เร่งกระหน่ำยา ก็ยิ่งยับระยำเยิน รู้แล้วอย่าอวดรู้ พินิจดูอย่าหมิ่นเมิน ควรยาหรือยาเกิน กว่าโรคนั้นจึงกลับกลาย ถนอมทำแต่พอควร อย่าโดยด่วนเอาพลันหาย ผิโรคนั้นกลับกลาย จะเสียท่าด้วยผิดที่ (ที ) บ้างได้แต่ยาผาย บรรจุถ่ายจงถึงดี เห็นโทษเข้าเป็นตรี จึงออกตัวด้วยตกใจ บ้างรู้แต่ยากวาด เที่ยวอวดอาจไม่เกรงภัย โรคน้อยให้หนักไป ดังก่อกรรมให้ติดกายฯ "
คนหนึ่งคนเปรียบได้กับประเทศประเทศหนึ่ง ( กายานคร ) พึ่งรู้ให้เจนจบ
" อนึ่งจะกล่าวสอน กายนครมีมากหลาย ประเทียบเปรียบในกาย ทุกหญิงชายในโลกา ดวงจิตรคือกษัตริย์ ผ่านสมบัติอันโอฬาร์ ข้าศึกคือโรคา เกิดเข่นฆ่าในกายเรา เปรียบแพทย์คือทหาร อันชำนาญรู้ลำเนา ข้าศึกมาอย่าใจเบา ห้อมล้อมทุกทิศา ให้ดำรงกษัตริย์ไว้ คือดวงใจให้เร่งยา อนึ่งห้ามอย่าโกรธา ข้าศึกมาจะอันตราย ปิตตัง คือวังหน้า เร่งรักษาเขม้นหมาย อาหารอยู่ในกาย คือสะเบียงเลี้ยงโยธา หนทางทั้งสามแห่ง เร่งจัดแจงอยู่รักษา ห้ามอย่าให้ข้าศึกมา ปิดทางได้จะเสียที อนึ่งเล่ามีคำโจทย์ กล่าวยกโทษแพทย์อันมี ปรีชารู้คัมภีร์ เหตุฉันใดแก้มิฟัง คำเฉลยแก้ปุจฉา รู้รักษาก็จริงจัง ด้วยโรคเหลือกำลัง จึงมิฟังในการยา เมื่ออ่อนรักษาได้ แล้วไซร้ยากนักหนา ไข้นั้นอุปมา เหมือนเพลิงป่าไหม้ลุกลาม "